ปางมารวิชัย

   

ลักษณะของพระพุทธรูป

        พระพุทธรูปปางนี้  อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ  พระหัตถ์ซ้ายหงายวางบนพระเพลา  พระหัตถ์ขวาวางบนพระชานุ(เข่า)  นิ้วพระหัตถ์ชี้ลงพื้นธรณี  ปางนี้เริ่มนิยมทำรัศมีบนพระเศียรแล้ว  (นิยมทำเป็นพระประทานในพระอุโบสถ)

ประวัติความเป็นมา

       ครั้งนั้น  ครั้นพระมหาบุรุษบรมโพธิสัตว์  ทรงอธิษฐานพระหฤทัยแล้ว  เทพยดาและพรหมทุกสถาน  อันมีท้าวสหัมบดีพรหมและท้าวมฆวาฬเป็นต้น  ก็พากันชื่นชมโสมนัส  มีหัตถ์ทรงซึ่งเครื่องสักการบูชาบุบผามาลัยอันมีประการต่างๆพากันมาสโมสรสันนิบาตห้อมล้อมโห่ร้องซ้องสาธุการบูชาพระมหาบุรุษสุดที่จะประมาณ  เต็มตลอดมงคลจักรวาลนี้

      ครั้งนั้นแล  พญามารวัสวดี  ได้สดับสัททสำเนียงเสียงเทพเจ้าบันลือลั่นโกลาหล  จึงดำริว่า  หน่อพระพุทธวงกูรจะล่วงพ้นวิสัยแห่งเรา  เป็นการสูญเสียแห่งเรา  เป็นการสูญเสียศักดิ์ศรี อันน่าอัปยศอดสูอย่างยิ่ง  ควรที่เราจะไปทำอันตรายขัดขวางให้พระองค์ทรงลุกหนีไปให้พ้นจากบัลลังก์  อย่าให้พระองค์ล่วงพ้นวิสัยเราไปได้  พญามารมีความพอโรธด้วยกำลังอิสสาจิตครอบงำสันดานจึงร้องอุโฆษณาการให้พลเสนามารทั้งสิ้นมาประชุมกัน  พร้อมด้วยสรรพาวุธและสรรพพานะอันแรงร้าย  เหลือที่จะประมาณเต็มไปในคัดคณาท้องฟ้า  พญาวัสวดีมารขึ้นช้างคีรีเมขล์  นิรมิตมือหนึ่งพันถืออาวุธพร้อมสรรพ  นำกองทัพมารอันแสนร้ายเหาะมาโดยนภาลัยประเทศเข้าล้อมเขตบัลลังก์รัตน์ของพระมหาบุรุษบรมโพธิสัตว์ไว้อย่างแน่นหนา

      ทันใดนั้น  บรรดาเทพเจ้าที่พากันมาแวดล้อมถวายสักการบูชาหน่อพระชินศรีอยู่ต่างก็มีความกลัว  พากันหนีไปยังขอบจักรวาล  ทิ้งให้พระองค์ทรงต่อสู้กับพญามารแต่พระองค์เดียวเมื่อพระมหาบุรุษบรมโพธิสัตว์ผู้พุทธางกูรทรงเปล่าเปลี่ยวเหลียวหาผู้จะช่วยมิได้  ก็ตรัสเรียกทวยทหารของพระองค์  ๓๐  เหล่า ท พ กล่าวคือ  พระบารมี  ๓๐ ทัศ  ด้วยพระคาถาดำรัสว่า  อายนฺตุ  โภนฺต  อิธ  ทานสีลา  เป็นอาทิ  ความว่า  มาเถิดพวกท่านทั้ง  ๓๐  กอง  จงพร้อมกันจับอาวุธรบกับหมู่มารในบัดนี้   ครั้งนั้น  บารมีธรรม  ๓๐  ประการคือทาน ศีล  เนกขัมมะ  ปัญญา  วิริยะ  ขันติ  สัจจะ  อธิษฐาน  เมตตา  และอุเบกขา  เป็นอาทิต่างก็สำแดงกายให้ปรากฏดุจทหารกล้าถืออาวุธพร้อมที่จะเข้าประยุทธชิงชัยกับเสนามาร  รอพระบรมโองการประทานโอกาสอยู่เท่านั้น

      เมื่อพญามารวัสวดี  เห็นพระมหาบุรุษบรมโพธิสัตว์ประทับนิ่งไม่หวั่นไหวแต่ประการใด  ก็พิโรธยิ่งนักสั่งให้เสนามารรุกเข้าทำอันตรายหลายประการจนหมดฤทธิ์  บรรดาสรรพาวุธศาตรายาพิษที่พุ่งซัดไปก็กลายเป็นบุบผามาลัยบูชาพระองค์จนสิ้น  ครั้งนั้นพญามารวัสวดีจึงตรัสกะพระมหาบุรุษด้วยสันดานพาลว่า  สิทธัตถกุมาร  บัลลังก์แก้วนี้เป็นของเรา  เกิดขึ้นมาด้วยบุญเรา  ท่านเป็นคนไม่มีบุญ  ไม่ควรจะนั่ง  จงลุกไปเสียโดยเร็ว

       พระมหาบุรุษพุทธางกูรเจ้าก็ตรัสตอบว่า  “ดูกรพญามารบัลลังก์แก้วนี้  เกิดขึ้นด้วยบุญของอาตมาที่ได้บำเพ็ญมาแต่อสังเขยยกัปจะนับจะประมาณมิได้  ดังนั้นอาตมาผู้เดียวเท่านั้นสมควรจะนั่ง  ผู้อื่นไม่สมควรเลย”

       พญามารวัสวดีทรงโต้แย้งว่า  ที่พระมหาบุรุษรับสั่งมานั้นไม่เป็นความจริง  ให้พระองค์หาพยานมายืนยันว่า  พระองค์ได้บำเพ็ญกุศลมาจริงให้ประจักษ์เป็นสักขีพยานในที่นี้

      เมื่อพระมหาบุรุษไม่เห็นผู้อื่นใด  ใครจะกล้ามาเป็นพยานในที่นั้นได้  จึงตรัสเรียกนางวสุนธราเจ้าแห่งธรณีว่า  “ดูกรวสุนธรา  นางจงมาเป็นพยานในการบำเพ็ญกุศลของอาตมาในกาลบัดนี้ด้วยเถิด”

      ทันใดนั้น  นางวสุนธราเจ้าแม่ธรณีก็ปรากฏกายทำอัญชลีถวายอภิวาทแล้วเปล่งวาจาประกาศให้พญามารทราบว่า  พระมหาบุรุษบรมโพธิสัตว์พระองค์นี้ได้บำเพ็ญกุศลมามากมายเหลือที่จะนับได้  แม้แต่เพียงน้ำตรวจที่ข้าพเจ้าเอามวยผมรองรับไว้บนเศียรเกล้า  ก็มีมากพอจงถือเอาเป็นหลักฐานพยานได้  ครั้นนางวสุนธรากล่าวแล้ว  ก็บรรจงหัตถ์อันงามปล่อยมวยผมบีบน้ำตรวจที่สะสมไว้แต่อเนกชาติ  ให้ไหลออกมาเป็นทะเลหลวงท่วมทับเหล่าเสนามารทั้งปวงให้จมลงวอดวาย  กำลังน้ำได้ซัดช้างคีรีเมขล์  ให้ถอยร่นลงไปติดขอบจักรวาล

     ครั้งนั้น  พญามารวัสวดีตกตะลึงเป็นอัศจรรย์ด้วยมิเคยเห็นมาแต่กาลก่อนก็ประนมหัตถ์ถวายนมัสการยอมปราชัยพ่ายแพ้บุญบารมีของพระมหาบุรุษบรมโพธิสัตว์พุทธางกูร  แล้วพญามารวัสวดีก็อันตรธานหายไป  ณ  บัดนั้น  ให้พระมหาบุรุษทรงมารวิชัย  กำจัดมารให้พ่ายแพ้ได้เด็ดขาด  ตั้งแต่เวลาเย็นพระอาทิตย์ยังมิทันอัสดงคตด้วยพระไตรทสบารมีนั้นแล