ปางห้ามมาร

   

ลักษณะพระพุทธรูป
        พระพุทธรูปปางนี้  อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิราบพระหัตถ์ซ้ายวางหงายอยู่บนพระเพลา  พระหัตถ์ขวายกขึ้นป้องเสมอพระอุระแสดงอาการห้าม


ประวัติความเป็นมา
        หลังจากพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ได้ทรงเสวยวิมุตติสุขผ่านพ้นไปในเรือนแก้ว  ๗  วันแล้ว  พระองค์ได้เสด็จย้อนกลับไปประทับภายใต้ต้นอชปาลนิโครธ  อันตั้งอยู่ในด้านทิศบูรพาแห่งต้นพระศรีมหาโพธิอีก  ๗  วันคือ  ตั้งแต่วันขึ้น  ๑๔ ค่ำเดือนเชฏฐ (เดือน ๗ ของไทย) อันเป็นสัปดาห์ที่  ๕  แห่งวันตรัสรู้
    ขณะที่เสด็จประทับอยู่  ณ  ต้นไม้อชปาลนิโครธนั้น  มีธิดามาร  ๓  คนชื่อ  นางตัณหา  นางอรดี และนางราคา  อาสาพญามารผู้เป็นบิดา  เข้าไปเฝ้าทูลประเล้าประโลมด้วยเล่ห์กามารมณ์เนรมิตร่างเป็นสตรีสวยงามในวัยต่างๆ ตลอดจนกระทำอิตถีมายาโดยอาการลีลาฟ้อนรำขับร้องด้วยประการต่างๆ แต่พระพุทธองค์ก็มิได้ทรงใฝ่พระทัยกลับขับไล่ธิดาพญาวัสวดีมารเหล่านั้นให้ออกไป
    ครั้นแล้วพระพุทธองค์ก็ทรงพิจารณาถึงธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้วว่าเป็นคุณธรรมอันลึก  ยากที่บุคคลผู้ยินดีในกามคุณจะตรัสรู้ตามได้  ทรงท้อพระหฤทัยเพื่อจะตรัสสั่งสอนพระธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้วนั้น  แต่ทรงอาศัยพระกรุณาในหมู่สัตว์จึงทรงพิจารณาอีกว่า  จะมีผู้รู้ทั่วถึงธรรมนั้นบ้างหรือไม่  ก็ทรงทราบด้วยพระปัญญาว่า  บุคคลผู้มีกิเลสน้อยเบาบางก็มี  ผู้มีกิเลสหนาก็มี  ผู้มีอินทรีย์คือศรัทธา  วิริยะ  สติ  สมาธิ  ปัญญากล้าก็มี  ผู้มีอินทรีย์อ่อนก็มี  ผู้มีอาการอันดีก็มี  ผู้มีอาการชั่วก็มี  เป็นผู้จะพึงสอนให้รู้ได้โดยง่ายก็มี  เป็นผู้จะพึงสอนให้รู้ได้โดยยากก็มี  เปรียบเหมือนดอกอุบล  ๔  เหล่า  คือ  ดอกบัวที่ตั้งอยู่เหนือน้ำ  คอยสัมผัสรัศมีพระอาทิตย์  ก็จักบานในวันนี้ดอกบัวที่ตั้งอยู่เสมอน้ำ  จักบานในวันพรุ่งนี้  ดอกบัวที่อยู่ภายในน้ำ  ก็จักบาน  ณ  วันต่อๆไปส่วนดอกบัวที่อยู่ใต้เปือกตมนั้นอาจจะเป็นอาหารของปลาและเต่า  ดอกบัวที่จะบานมีต่างชนิดกันฉันใด  เวไนยสัตว์ก็มีต่างพวกกันฉันนั้น  มูลเหตุที่พระพุทธองค์ทรงขับไล่ธิดาแห่งพญามารวัสวดี  ให้หนีไปนั้นเอง  ทำให้คิดสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาเรียกว่า  “ปางห้ามมาร”