ปางชี้อัครสาวก

   

ลักษณะพุทธรูป
    พระพุทธรูปปางนี้  อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิพระหัตถ์ซ้ายหงายวางบนพระเพลา  พระหัตถ์ขวายกขึ้นชี้นิ้วพระหัตถ์ขวาตรงออกไปข้างหน้า  เป็นกิริยาทรงประกาศอัครสาวกให้ปรากฏในที่ประชุมสงฆ์

ประวัติความเป็นมา
    ครั้งนั้นมาณพสกุลพราหมณ์  ๒  สหาย  ชื่อ  อุปติสสะบุตรแห่งนางสารี  เรียกตามโคตรว่า “สารีบุตร”  และ  โกลิตะ  บุตรแห่งนางโมคคัลลี  เรียกตามโคตรว่า “โมคคัลลานะ”  ทั้ง  ๒  สหายนี้รักใคร่กันมาก  มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน  เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย  เล่าเรียนศิลปะศาสตร์ในสำนักเรียนเดียวกัน  แม้สำเร็จการศึกษาแล้ว  ก็ยังสนิทสนมกันไปไหนมาไหนด้วยกัน  ร่วมสุขร่วมทุกข์กันฉันมิตรอยู่เสมอมา
    วันหนึ่งสองสหายนี้  พร้อมด้วยบริวารไปดูงานบนยอดภูเขา  เกิดความสลดใจ  ไม่สนุกร่าเริงเหมือนวันก่อนๆ ด้วยเห็นว่าคนเหล่านี้รวมทั้งตัวเราอยู่อีกไม่ถึงร้อยปีก็จะตายสิ้น  สิ่งที่เป็นสาระจะได้จะถึง  ซึ่งควรจะแสวงหาก็ยังมิได้แสวงหา  แม้เพียงคิดก็ยังมิได้คิด  ครั้นสองสหายปรึกษาหารือกัน  และมีความเห็นร่วมกันแล้ว  จึงพร้อมกันออกบวชเป็นปริพพาชกอยู่ในสำนักสัญชัยปริพพาชก  ณ  กรุงราชคฤห์นั้นพร้อมด้วยบริวารคนละ  ๒๕๐  คน
    สองสหายพยายามศึกษาลัทธิสมัยในสำนักของท่านสัญชัยปริพพาชก  แต่ไม่ได้บรรลุธรรมพิเศษอันเป็นที่พอใจของตน  จึงได้สัญญากันไว้ว่า  ผู้ใดได้บรรลุธรรมพิเศษก่อนผู้นั้นจงบอกแก่อีกคนหนึ่ง
    วันหนึ่ง  พระอัสสชิซึ่งนับเนื่องเข้าในปัญจวัคคีย์  เช้าไปบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์  อุปติสสปริพพาชกเดินมาแต่อารามได้เห็นท่านมีอาการน่าเลื่อมใส  จะก้าวไปถอยกลับแลเหลียวคู้แขนเหยียดแขนเรียบร้อยทุกอิริยาบถ  ทอดจักษุแต่พอประมาณ  มีอาการแปลกจากบรรพชิตในครั้งนั้น  อยากจะทราบความว่า ใครเป็นศาสดาของท่าน  แต่ยังไม่อาจถาม  ด้วนเห็นว่าเป็นการมีควร  ท่านยังเที่ยวไปบิณฑบาตอยู่  จึงติดตามไปข้างหลัง  ครั้นเห็นท่านกลับจากบิณฑบาตแล้ว  จึงเข้าไปใกล้พูดปราศรัยแล้วถามว่า  “ผู้มีอายุ  อินทรีย์ของท่านผ่องใสยิ่งนักสีผิวของท่านหมดจดผ่องใส  ท่านบวชจำเพราะใคร ใครเป็นศาสดาผู้สอนของท่าน  ท่านชอบใจธรรมของใคร
    “ผู้มีอายุ  เราบวชจำเพราะพระมหาสมณะผู้เป็นโอรสแห่งศากยะ  ออกบวชจากศากยสกุล  ท่านเป็นพระศาสดาของเรา  เราชอบใจธรรมของท่าน”
    “ผู้มีอายุ  เราเป็นคนบวชใหม่บวชยังไม่นาน  พึ่งมายังพระธรรมวินัยนี้  ไม่อาจแสดงธรรมแก่ท่านโดยกว้างขวางเราจักกล่าวความแก่ท่านโดยย่อพอรู้ความ”
    “ท่านผู้เจริญช่างเถิด  ท่านจะกล่าวน้อยก็ตาม  มากก็ตาม  กล่าวแต่ความเถิด  เราต้องการด้วยความ  ท่านจะกล่าวให้มากเพื่อประโยชน์อะไร”
    พระอัสสชิก็แสดงธรรมแก่อุปติสสะ  พอเป็นใจความว่า  “ธรรมใดเกิดแต่เหตุ  พระศาสดาทรงแสดงเหตุแห่งธรรมนั้นและความดับแห่งธรรมนั้น  พระศาสดาทรงสั่งสอนอย่างนี้”  
    อุปติสสะได้ฟังก็ทราบว่า  ในศาสนานี้แสดงว่า  “ธรรมทั้งปวงเกิดแต่เหตุ  และจะสงบระงับไปเพราะดับเหตุก่อนพระศาสดาทรงสั่งสอนให้ปฏิบัติเพื่อสงบระงับเหตุแห่งธรรมเป็นเครื่องก่อให้เกิดทุกข์”  ได้ดวงตาเห็นธรรมว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา  สิ่งนั้นทั้งหมดต้องมีความดับเป็นธรรมดา”  แล้วถามว่า  “พระศาสดาของเราประทับอยู่  ณ  ที่ไหน
    “ผู้มีอายุ เสด็จประทับอยู่  ณ  เวฬุวัน”
    “ท่านผู้เจริญ  ถ้าอย่างนั้น  พระผู้เป็นเจ้าไปก่อนเถิดข้าพเจ้าจะกลับไปบอกสหายแล้วจะพากันไปเฝ้าพระศาสดา”
    ครั้นพระเถระไปแล้ว  อุปติสสะก็กลับมายังสำนักสัญชัยปริพพาชกผู้อาจารย์  เพื่อบอกข่าวที่ได้พบพระอัสสชิแก่โกลิตะผู้สหายแล้วแสดงธรรมนั้นให้ฟัง  โกลิตะก็ได้ดวงตาเห็นธรารมเหมือนอุปติสสะ  สองสหายชวนกันไปเฝ้าพระศาสดาจึงพากันไปลาสัญชัยปริพพาชกผู้อาจารย์  สัญชัยปริพพาชกห้ามไว้โดยอ้อนวอนให้อยู่เพื่อสั่งสอนศิษย์ช่วยกันเป็นหลายครั้งก็ไม่ฟัง  ในที่สุดสัญชัยปริพพาชกถามว่า  “ในโลกนี้คนฉลาดมากหรือโง่มาก”  สองสหายตอบว่าคนฉลาดน้อย คนโง่มาก
    สัญชัยปริพพาชกจึงกล่าวว่า  “ถ้าอย่างนั้นคนฉลาดจงไปยังสำนักของพระโคดมเถิด  คนโง่จงมายังสำนักของเรา”  ดังนั้นทั้งสองสหายพร้อมด้วยบริวาร  จึงลาอาจารย์สัญชัยปริพพาชกออกจากสำนัก  มุ่งหน้าไปยังเวฬุวันเพื่อเฝ้าพระศาสดาครั้นไปถึงจึงนั่ง  ณ  ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วทูลขออุปสมบทพระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยกันทั้งหมดสิ้น
    ได้ยินว่าภิกษุที่เป็นบริวาร  ได้ฟังธรรมเทศนาแล้วบำเพ็ญเพียรอยู่ได้สำเร็จพระอรหันต์ก่อน อุปติสสะและโกลิตะและเมื่ออุปติสสะและโกลิตะ  ได้อุปสมบทในพระพุทธศาสนาแล้ว  ได้เรียกชื่อตามโคตร  คือ อุปติสสะได้ชื่อว่า  สารีบุตร  และโกลิตะ ได้ชื่อว่า โมคคัลลานะ
    หลังจากอุปสมบทมาแล้วได้  ๗  วัน  พระโมคคัลลานะจึงได้บรรลุอรหัตผล  ณ  บ้านกัลลวาลมุตตคามแขวงมคธ  และอีก  ๗  วันต่อมา  พระสารีบุตรจึงได้บรรลุพระอรหัตผล  ในยามเช้าแห่งวันมาฆบุรณมีดิถีพระจันทร์เพ็ญเสวยมาฆฤกษ์ ณ  ถ้ำสุกรขาตาข้างภูเขาคิชฌกูฏ  แขวงเมืองราชคฤห์  ครั้นพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ  ได้บรรลุพระอริยผลเบื้องสูงแล้ว  ก็ได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดาให้เป็นอัครสาวกซ้ายขวา  คือพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา  และพระโมคคัลลานะได้เป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย  สมดั่งพระวาจาที่ทรงยกพระหัตถ์ตรัสบอกภิกษุทั้งหลาย  ในวันแรกที่พาบริวารเข้าเฝ้าและสมดั่งปณิธานพระเถระเจ้าอัครสาวกทั้งสองได้ตั้งไว้แต่อดีตชาติ