ปางทรงตัดพระเมาลี

   

ลักษณะพระพุทธรูป

   พระพุทธรูปปางนี้  อยู่ในพระอิริยาบถประทับนั่งบนพระแท่น    พระหัตถ์ซ้ายทรงรวบพระเมาลีอันยาวไว้  พระหัตถ์ขวาทรงถือพระขรรค์  ทำอาการทรงตัดพระเมาลี  มีนายฉันนะและม้ากัณฐกะอยู่ด้านหนึ่ง  และอีกด้านหนึ่งเป็นรูปพระอินทร์พระพรหม (ฆกิการพรหม)  และเหล่าเทพยาดาถือบาตร  ผ้าทรงและพานสำหรับรองรับพระเมาลี

ประวัติความเป็นมา

    ครั้งนั้น  พระสิทธัตถะได้เสด็จออกจากพระนครไปแล้วพญาวัสวดีมารเข้ามาขัดขวางการเสด็จของพระองค์  แล้วทูลว่าราชสมบัติจะเป็นของท่านภายใน  ๗  วันนี้แล้ว  โปรดรอก่อนอย่าด้วนเสร็จบรรพชาเลย  พระสิทธัตถะบรมโพธิสัตว์จึงตรัสตอบไปว่า  เราทราบแล้ว  สมบัติจักรพรรดิ์นั้นไม่ทำให้เราพ้นทุกข์ได้เลย  ท่านจงหลีกไปเถิด  เมื่อพญาวัสวดีมารหายไปแล้วพระองค์ก็ได้เสด็จเดินทางต่อไป  ๓๐  โยชน์ (๔๘๐) กม.) ในคืนเดียวผ่านรัฐต่างๆ ๓รัฐคือ กบิลพัสดุ์  สาวัตถี  และเวสาลี  บรรลุถึงแม่น้ำอโนมานที  ครั้นแล้วพระองค์จึงทรงเปลื้องพระภูษาเครื่องทรงของขัตติยกษัตริย์ออก  มอบให้นายฉันนะผู้ติดตามนำกลับไปยังพระนครกบิลพัสดุ์พร้อมกับม้ากัณฐกะ  แล้วพระองค์ก็ทรงตั้งมั่นในพระหฤทัยที่จะบรรพชา  จึงทรงรวบพระเมาลียาวด้วยพระหัตถ์ซ้าย  พระหัตถ์ขวาทรงจับพระขรรค์ยกขึ้นตัดพระเมาลีที่ทรงรวบไว้นั้นให้ขาดออก  แล้วซัดพระเมาลีนั้นขึ้นไปบนอากาศ  ทันใดนั้น  ท้าวสักกเทวราชจึงเอาผอบทองมารองรับ  อัฐเชิญไปประดิษฐานบรรจุไว้  ณ  พระจุฬามณีเจดียสถานในเทวโลก    ส่วนพระองค์บรมโพธิสัตว์  ครั้นทรงตัดพระเมาลีแล้ว  จึงทรงอธิษฐานเพศเป็นบรรพชิต   ซึ่งมีหมู่อมรเทพและท้าวมหาพรหมเรียงรายถวายความเคารพ  น้อมถวายสมณบริขาร  คือ  บาตรและผ้ากาสาวพัสตร์  แล้วทรงรับเครื่องบริขารเหล่านั้นมาครองเพศเป็นบรรพชิต