ปางโปรดพุทธบิดา |
ลักษณะพุทธรูป พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ซ้ายอยู่ในท่าประคองบาตร พระหัตถ์ ขวาทรงยกขึ้นจีบพระองคุลี เป็นกิริยาแสดงธรรมโปรด ประวัติความเป็นมา เมื่อพระบรมศาสดาทรงพาพระสาวกเสด็จออกบิณฑบาตในพระนครกบิลพัสดุ์ ซึ่งมีเรื่องอนุสนธิต่อจากประวัติพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรต่อไปว่า ครั้นความทราบถึงพระพุทธบิดาแล้วก็ทรงเสียพระทัยเป็นอันมาก รีบเสด็จออกไปพบพระพุทธองค์แล้ว รับสั่งตรัสพ้อต่อว่าพระบรมศาสดาด้วยความน้อยพระทัยที่ทรงเห็นการที่พระบรมศาสดาทรงบาตร เสด็จโปรดสัตว์ไปตามถนนหลวงมั้นว่าเป็นเรื่องเสื่อมเสียพระเกียรติยศ เป็นการขอทาน อันจะทำให้ชาวเมืองดูหมิ่นดูแคลนว่าสิ้นเนื้อประดาตัว ไม่มีจะกิน ไม่มีญาติมิตรอุปถัมภ์ พระพุทธบิดาก็ไม่รับรองรังเกียจ ซึ่งบรรดากษัตริย์ทั้งหลายจะไม่ทรงทำกันเป็นเรื่องที่น่าอัปยศมาก ด้วยพระวาจาเพียงสั้นๆว่า “สิทธัตถะ ประเพณีเคยทำเช่นนี้หรือ” พระบรมศาสดากลับทรงรับสั่งตอบพระบิดาด้วยพระอากัปกิริยาปกติว่า “นี้เป็นประเพณีของตถาคต” คือการเที่ยวบิณฑบาตนี้เป็นเนติเป็นประเพณีของเราในฐานะที่เป็นพระบรมศาสดาทรงอยู่ในภาวะของสมณะเพศ ปกติเหล่ากอของสมณะจะต้องบิณฑบาต ซึ่งเป็นประเพณีของพระสงฆ์ทั่วไป แต่พระเจ้าสุทโธทนะไม่ทรงเข้าพระทัย โดยทรงถือว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ แม้พระบรมศาสดาก็เป็นกษัตริย์ ธรรมดาของกษัตริย์ย่อมไม่มีประเพณีเลี้ยงชีวิตด้วยการท่องเที่ยวบิณฑบาตดังนั้น จึงทรงรับสั่งย้ำอีกว่า “นี้เป็นประเพณีของเราหรือ” แม้พระบรมศาสดาก็ตรัสยืนพระวาจาว่า “นี้เป็นประเพณีของพระตถาคต” เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะตรัสหมายถึงประเพณีกษัตริย์ ส่วนพระพุทธองค์ตรัสหมายถึงประเพณีของพระอริยเจ้า มีความไม่ตรงกัน ซึ่งความจริงแล้วก็ถูกด้วยกันทั้งสอง แต่พระพุทธบิดาไม่ทรงทราบความหมายอันเป็นความจริงของพระวาจาที่พระบรมศาสดาตรัสรับสั่ง ดังนั้น พระพุทธองค์จึงได้ทรงอธิบายความหมายของพระวาจาที่ตรัสตอบพระพุทธบิดาว่านับแต่พระองค์ได้ทรงสละราชสมบัติทั้งพระราชเทวี และพระโอรสออกจากพระนคร ไปอยู่ในป่าทรงผนวชอยู่ในเพศของสมณะ นับว่าพระองค์ได้ขาดจากความเป็นกษัตริย์ ไม่มีความหมายในความเป็นเจ้านาย ไม่มีประเพณีของกษัตริย์อันใดที่พระองค์จะทรงถืออยู่ และนับแต่นั้นมาพระองค์ก็ทรงตั้งอยู่ในประเพณีของสมณะ ประพฤติตามทางของพระอริยเจ้าแต่ปางก่อนที่ประพฤติมา มีการเที่ยวบิณฑบาตเลี้ยงชีวิตเป็นจริยานุวัตร แล้วพระบรมศาสดาก็ทรงเล่าการบำเพ็ญเพียรของพระองค์ ที่ทรงแสดงหาพระสัมมาสัมโพธิญาณเพื่อความตรัสรู้เพื่อความหลุดพ้นจากสรรพกิเลส ในที่สุดก็ทรงทำลายตัณหาเป็นสมุจเฉทประหาร ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณที่ควงไม้อสัตถพฤกษ์โพธิสถาน ณ วันเพ็ญเดือนวิสาขะ กลางเดือน ๖ ทรงเปลื้องปลดมานะทิฏฐิที่หุ้มห่อดวงปัญญาของพระพุทธบิดา ให้ทรงเห็นคุณค่าของสมณะบ้างแล้ว จึงได้ทรงแสดงอริยวังสิกสูตรโปรดพุทธบิดาตามนัยพระบาลีว่า “อุตฺติฏฺเฐ นปฺปมชฺเยยฺย เป็นต้น โดยพระอิริยาบถยืนทรงบาตรอยู่อย่างนั้น แม้พระพุทธบิดาก็ทรงประทับยืนฟังพระโอวาทของพระบรมศาสดาในทำนองเดียวกัน เมื่อจบพระธรรมเทศนา พระพุทธบิดาก็ได้ตั้งอยู่ในพระโสดาปัตติผล แล้วทูลอาราธนาพระบรมศาสดาพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกทั้งหลายให้ไปเสวยที่พระราชนิเวศน์พร้อมกัน พระพุทธจริยาตอนเสด็จประทับยืนแสดงธรรมโปรดพระพุทธบิดานี้เองเป็นนิมิตอันดีเป็นมงคลอันเลิศล้ำ เป็นเหตุให้สร้างพระพุทธรูปที่เรียกว่า “ปางโปรดพุทธบิดา” |