ปางแสดงยมกปาฏิหาริย์

   

ลักษณะพุทธรูป

    พระพุทธรูปปางนี้    อยู่ในพระอิริยาบถประทับนั่งบนบัลลังก์  ห้อยพระบาททั้งสองแบบนั่งเก้าอี้  ที่พระบาทมีดอกบัวรองรับ  พระหัตถ์ซ้ายวางบนพระเพลา  พระหัตถ์ขวายกขึ้นเสมอพระอุระ  จีบพระองคุลี  เป็นกิริยาทรงแสดงธรรม

 ประวัติความเป็นมา

    พระพุทธองค์ทรงประทานเมล็ดมะม่วงให้นายคัณฑะปลูกรักษาไว้อันได้นามว่า  “คัณฑามพพฤกษ์”  ด้วยพุทธานุภาพมะม่วงได้งอกงามเจริญบริบูรณ์แตกกิ่งก้านสาขาใหญ่โตมากผลร่วงหล่นกลาดเกลื่อน  พวกนักเลงทั้งหลายพากันเก็บกินมีรสหวานอร่อย  แล้วเอาเมล็ดมะม่วงขว้างปาพวกเดียรถีย์นิครนถ์ด้วยความเคียดแค้น  และวาตวลาหกเทพบุตรก็บันดาลลมมหาวาตพายุให้พาพัดมณฑปของพวกเดียรถีย์กระจัดกระจายทำลายลง  พระอาทิตย์เวลาเที่ยงก็ส่องแสงแผดเผาพวกเดียรถีย์ให้หิวกระหายบอบช้ำพากันหนีไปในทิศานุทิศ

      ครั้นเวลาบ่ายชายลง  พระพุทธองค์ทรงได้ไม้คัณฑามพพฤกษ์อันสมบูรณ์ด้วยกิ่งใบสูงใหญ่ด้วยปริมณฑลสมดังพระประสงค์เช่นนั้น  ก็ทรงตั้งพระทัยจะทำปาฏิหาริย์สืบไปดังนั้น  พระพุทธองค์จึงเสด็จลงจากพระคันธกุฏี  ประทับยืนอยู่ที่มุข  ท่ามกลางพุทธบริษัทซึ่งมาสโมสรกันเนืองแน่น  โดยใคร่จะชมปาฏิหาริย์  จึงทรงเนรมิตจงกลมแก้วกว้างใหญ่  เหนือยอดไม้คัณฑามพพฤกษ์ไพศาล  งามตระการวิจิตรด้วยสัตตรตโนภาส  ควรแก่ความเป็นพุทธอาสน์ที่ประทับสำหรับแสดงปาฏิหาริย์  ของสมเด็จพระพิชิตมารอย่างหาผู้เสมอเหมือนมิได้แล้วสมเด็จพระจอมไตรโลกนาถก็เสด็จลีลาศขึ้นประทับยังจงกลมแก้วมโหฬาร  ทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์ให้บังเกิด  คือ

     ท่อไฟพุ่งออกจากทางพระกายเบื้องบน  สายน้ำพุ่งออกจากพระกายเบื้องล่างและท่อไฟพุ่งออกจากพระกายเบื้องล่างสายน้ำพุ่งออกจากพระกายเบื้องบนเป็นคู่ ๑

     ท่อไฟพุ่งออกจากพระกายเบื้องหน้า  สายน้ำพุ่งออกจากกายเบื้องหลัง  และท่อไฟพุ่งออกจากพระกายเบื้องหลัง  สายน้ำพุ่งออกจากพระกายเบื้องหน้าเป็นคู่ ๑

     ท่อไฟพุ่งออกจากพระเนตรข้างขวา  สายน้ำพุ่งออกจากพระเนตรข้างซ้าย  และท่อไฟพุ่งออกจากพระเนตรข้างซ้าย  สายน้ำพุ่งออกจากพระเนตรข้างขวาเป็นคู่  ๑

     ท่อไฟพุ่งออกจากพระกรรณข้างขวา  สายน้ำพุ่งออกจากพระกรรณข้างซ้าย  และท่อไฟพุ่งออกจากพระกรรณข้างซ้ายสายน้ำพุ่งออกจากพระกรรณข้างขวาเป็นคู่  ๑

     ท่อไฟพุ่งออกจากช่องพระนาสิกข้างขวา  สายน้ำพุ่งออกจากพระนาสิกข้างซ้าย  และท่อไฟพุ่งออกจากพระนาสิกข้างซ้าย  สายน้ำพุ่งออกจากพระนาสิกข้างขวาเป็นคู่  ๑

     ท่อไฟพุ่งออกจากจงอยพระอังสะข้างขวา  สายน้ำพุ่งออกจากจงอยพระอังสะข้างซ้าย  และท่อไฟพุ่งออกจากจงอยพระอังสะข้างขวาเป็นคู่ ๑

     ท่อไฟพุ่งออกจากพระหัตถ์ข้างขวา  สายน้ำพุ่งออกจากพระหัตถ์ข้างซ้าย  และท่อไฟพุ่งออกจากพระหัตถ์ข้างซ้าย  สายน้ำพุ่งออกจากพระหัตถ์ข้างขวาเป็นคู่  ๑

     ท่อไฟพุ่งออกจากพระปรัศว์เบื้องขวา  สายน้ำพุ่งออกจากพระปรัศว์เบื้องซ้าย  และท่อไฟพุ่งออกจากพระปรัศว์เบื้องซ้าย  สายน้ำพุ่งออกจากพระปรัศว์เบื้องขวาเป็นคู่  ๑

     ท่อไฟพุ่งออกจากพระบาทข้างขวา  สายน้ำพุ่งออกจากพระบาทข้างซ้าย  และท่อไฟพุ่งออกจากพระบาทข้างซ้าย  สายน้ำพุ่งออกจากพระบาทข้างขวาเป็นคู่  ๑

     ท่อไฟพุ่งออกจากนิ้วพระหัตถ์ข้างขวา  สายน้ำพุ่งออกจากนิ้วพระหัตถ์ข้างซ้าย  และท่อไฟพุ่งออกจากนิ้วพระหัตถ์ข้างซ้าย  สายน้ำพุ่งออกจากนิ้วพระหัตถ์ข้างขวาเป็นคู่  ๑

     ท่อไฟพุ่งออกมาจากพระโลมาเส้นหนึ่ง  สายน้ำพุ่งออกจากพระโลมาอีกเส้นหนึ่งเป็นคู่ๆสลับกันไปทั่วพระวรกายเมื่อท่อไฟพุ่งออกมาแล้วก็สำแดงเป็นสีสัณฐ์ต่างๆ สลับกัน  ๖  สี  คือ สีเขียว  สีเหลือง  สีแดง  สีขาว  สีหงสบาท  และสีประภัสสร

     เมื่อสีออกจากแสงไฟซึ่งพุ่งออกมากระทบสายน้ำ  ก็ทำสายน้ำให้เป็นสีต่างๆ ไปตามสีไฟ สลับกันไปมาน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก  ทั้งท่อไฟและสายน้ำที่พุ่งออกก็พุ่งออกไปไกล  ทำให้ท้องฟ้าอากาศสว่างไสวให้มหาชนทั้งหลายมองเห็นทั่วทุกทิศ  เป็นที่เจริญตาและเจริญจิตแก่ผู้ได้เห็นทั่วโลกธาตุ  ต่อแต่นั้นสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ  ก็ทรงเนรมิตพระพุทธเจ้าขึ้นพระองค์หนึ่งให้มีพระรูปพระโฉมคล้ายกับพระองค์ทุกประการและโปรดให้พระพุทธเนรมิตนั้นแสดงอาการสลับกันไปกับพระองค์โดยตลอดคือ

     เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจงกลม  พระพุทธเนรมิตก็เสด็จประทับยืน  เมื่อพระพุทธเนรมิตเสด็จจงกลม  พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ประทับยืนเป็นคู่  ๑

     เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง  พระพุทธเนรมิตก็สำเร็จสีหไสยา  เมื่อพระพุทธเนรมิตเสด็จประทับนั่ง  พระผู้มีพระภาคเจ้าก็สำเร็จสีหไสยาเป็นคู่  ๑

     เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงตั้งปัญหาถาม  พระพุทธเนรมิตก็ตรัสแก้  เมื่อพระพุทธเนรมิตตรัสถาม  พระผู้มีพระภาคก็ตรัสแก้เป็นคู่ ๑

     รวมพระอาการแสดงก็ดี  อาการที่ทรงถามและทรงแก้ก็ดี  ได้ประกฎแก่มหาชนที่มาประชุมกันอยู่ได้เห็นได้ยินกันทั่วถึง  เป็นที่เจริญใจเกิดความเลื่อมใสศรัทธาปสาทะยิ่งนักในที่สุดแห่งยมกปาฏิหาริย์นั้นธรรมาภิสมัยได้มีแก่  พุทธ  บริษัทเป็นอเนกแล

     พระพุทธจริยาตอนทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์นี้เป็นเหตุให้สร้างพระพุทธรูปที่เรียกว่า “ปางแสดงยมกปาฏิหาริย์