ปางเสด็จลงจากดาวดึงส์

   

ลักษณะพุทธรูป

     พระพุทธรูปปางนี้  อยู่ในพระอิริยาบถยืน  ยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างขึ้นเสมอพระอุระ  ทรงจีบพระองคุลี  แบบพระพุทธรูปปางห้ามญาติพิพาทกันในเรื่องน้ำในแม่น้ำโรหินี  ต่างกันแต่ทรงจีบพระองคุลีทั้งสองเป็นกิริยาแสดงธรรม

ประวัติความเป็นมา

     เมื่อพระบรมศาสดา  ได้เสด็จจำพรรษาตลอดไตรมาสในวัสสาคำรบ  ๗  เพื่อโปรดพระพุทธมารดา  และท้าวสักกเทวราชพร้อมทั้งเหล่าเทวดา  ครั้นถึงวันปุรณมีแห่งอัสสยุชมาสเพ็ญเดือน  ๑๑  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปวารณาพระวัสสาแล้ว  ทรงรับสั่งแก่ท้าวสักกเทวราชว่า  ตถาคตจะลงไปสู่มนุษยโลกในวันนี้  เมื่อท้าวโกลีย์ทราบพระพุทธประสงค์แล้ว  จึงเนรมิตบันไดทิพย์  ๓ บันได  สำหรับพระพุทธดำเนินเสด็จลงสู่มนุษยโลก  บันไดแก้วอยู่กลาง  บันไดทองอยู่ข้างขวา  บันได้เงินอยู่ข้างซ้าย  เชิงบันได้ทั้ง  ๓  นั้น  ประดิษฐานอยู่ภาคพื้นปฐพีที่ใกล้ประตูเมืองสังกัสสนคร  ศีรษะบันไดเบื้องบนจดยอดภูเขาสิเนรุราช  บันได้แก้วนั้นเป็นที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลงบันไดทองเป็นที่เทพยดาทั้งหลายตามส่งเสด็จ  บันไดเงินเป็นที่พรหมทั้งหลายตามส่งเสด็จ  ขณะนั้นเทพยดาและพรหมทั้งหลาย  ได้ประชุมพร้อมกันบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าทั่วจักรวาล

       เมื่อได้เวลาเสด็จ  พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสด็จมาประทับยืนที่ฐานศีรษะบันได้  ในท่ามกลางเทพ  พรหมบริษัทซึ่งแวดล้อมเป็นบริวารจึงได้ทรงทำโลกวิวรณปาฏิหาริย์เปิดโลก  โดยพระอาการทอดพระเนตรไปในทิศต่างๆ รวมทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างรวม  ๑๐  ทิศด้วยกัน  และด้วยพุทธานุภาพ  ในทันใดนั้น  ทุกทิศทุกทางจะแลโล่งตลอดหมดไม่มีสิ่งอันใดกีดกัน  เทวดาในสวรรค์จะมองเห็นมนุษย์  เห็นยมโลก  เห็นนรกและมนุษย์ก็มองเห็นเทวดา  เห็นสัตว์นรก  แม้สัตว์นรกก็มองเห็นตลอดเทวดาในสวรรค์  ไม่มีสิ่งใดปิดบัง  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสำแดงปาฏิหาริย์เปิดโลก  พร้อมกับเปล่งฉัพพรรณรังสีพระรัศมี  ๖  ประการ  เป็นมหัศจรรย์

       ครั้งนั้นเทพยดาในหมื่นจักรวาล  ได้มาประชุมกันในจักรวาลนี้  เพื่อชื่นชมพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำปาฏิหาริย์  พร้อมกับทำการสักการบูชาสมโภชพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยทิพย์บุบผามาลัยเป็นอเนกประการ

      พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เยื้องย่างลีลาเสด็จลงจากดาวดึงส์โดยบันได้แก้วมณีมัยท่ามกลางเทพยดาในหมื่นจักรวาล  มีท้าวสักกะเป็นต้น  โดยบันไดทองสุวรรณมัยในเบื้องขวา  ท้าวสหัมบดีพรหมเป็นอันมากลงโดยบันได้เงินหิรัญญมัยในเบื้องซ้าย  ปัญจสิขรคนธรรมพ์เทพบุตร  ทรงพิณมีสีดังผลมะตูมสุกดีดขับร้องด้วยมธุรเสียงอันไพเราะมาในเบื้องหน้าพระบรมศาสดา  ท้าวสันดุสิตเทวราชกับท้าวสุยามเทวราชทรงทิพย์จามรถวายพระบรมศาสดาทั้ง  ๒  ข้าง  ท้าวมหาพรหมปชาบดีทรงทิพย์เศวตฉัตรกั้นถวายพระบรมศาสดา  เสด็จเป็นมัคคุเทศก์นำพระบรมศาสดาลงมา  ในท่ามกลางทวยเทพยดาและพรหมทั้งหลายพากันแวดล้อมแห่ห้อมเป็นบริวาร

      เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลีลาลงจากดาวดึงส์สวรรค์โดยบันได้แก้วลงมาถึงเชิงบันได  มหาชนทั้งหลายได้เห็นพระรูปพระโฉมของพระผู้มีพระภาคเจ้า  ได้เห็นการเสด็จลีลาลงจากสวรรค์  ในท่ามกลางเทพยดาและพรหมเป็นอันมาก  ครั้งนั้นงามจับอกจับใจอย่างไม่เคยคิดเคยเห็นมาแต่ก่อน  ก็พากันลิงโลกแซ่ซ้องสาธุการเสียงสนั่นหวั่นไหว  แม้แต่พระสารีบุตรพุทธสาวกยังได้กล่าวคาถาสรรเสริญด้วยความยินดีว่า  น  เม  ทิฏฺโฐ  อิโต  ปุพฺเพ  เป็นอาทิ  ความว่า  ข้าพระองค์ไม่เคยเห็น  ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า  พระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งงามด้วยศิริโสภาคยิ่งกว่าเทพเจ้าทั้งมวล  มีพระสุระเสียงอันไพเราะอย่างนี้  เสด็จลงมาจากสวรรค์

      ขณะนั้น  พระบรมศาสดาซึ่งมีพระทัยมากด้วยพระมหากรุณามุ่งหิตานุหิตประโยชน์สุข  จึงได้แสดงธรรมโปรดพุทธบริษัท  ผู้กำลังมีความโสมนัส  พึงตาพึงใจในพระรูปโฉมอยู่ในท่ามกลางเทพเจ้าและหมู่พรหม  ที่พร้อมกันถวายสักการบูชาด้วยทิพยบุบผานานาวรามิส  ให้เกิดกุศลจิตสัมปยุตด้วยปรีชาญาณ  หยั่งรู้ในเทศนาบรรหารตามควรแก่อุปนิสัย  เมื่อจบเทศนานัยธรรมานุสนธ์  ต่างก็ได้บรรลุอริยมรรคอริยผลตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงเบื้องปลาย  ตามอุปนิสัยที่ได้สั่งสมมา

      พระพุทธจริยาตอนเสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์โดยบันได้แก้วนั่นเองเป็ฯเหตุให้สร้างพระพุทธรูปที่เรียกว่า  “ปางเสด็จลงจากดาวดึงส์