ปางสรงน้ำฝน

   

ลักษณะพุทธรูป

      พระพุทธรูปปางนี้  อยู่ในพระอิริยาบถยืน  ทรงห่มผ้าวัสสิกสาฎกเฉวียงพระอังสา  พระหัตถ์ซ้ายห้อยลงข้างพระกายยกพระหัตถ์ขวาขึ้นลูบพระอุระ  เป็นกิริยาสรงน้ำ  พระพุทธรูปปางนี้น่าจะเป็นปางเดียวกับปางขอฝน  และเห็นมีแต่ในหอราชการมนุสร  (ของหลวง)  เท่านั้น

ประวัติความเป็นมา

       ครั้งหนึ่งเมื่อพระพุทธองค์เสด็จประทับอยู่  ณ  พระเชตวันมหาวิหารใกล้พระนครสาวัตถีครั้งนั้นพระนครสาวัตถีเกิดฝนแล้ง  ทำให้ชาวไร่ชาวนาตลอดจนชาวบ้านทั่วไปเดือดร้อนทั่วเมือง  ลำบากด้วยน้ำเป็นอันมาก  วันหนึ่งบรรดาคนที่นับถือพระพุทธศาสนา  มีคนที่ฉลาดคนหนึ่งดำริว่าขึ้นชื่อว่าอานุภาพของพระพุทธเจ้าหามีอานุภาพอันใดเสมอเหมือนได้ไม่  หากพวกเราพร้อมกันไปเฝ้ากราบทูลให้ทรงทราบถึงความเดือดร้อนแล้วเชื่อว่า  พระพุทธองค์ผู้มากด้วยพระมหากรุณาเสมอด้วยห้วงมหาสาคร  จะทรงโปรดให้พวกเราพ้นจากความเดือดร้อนอันนี้เป็นแน่  ครั้นคิดเช่นนั้นแล้ว  จึงชักชวนคนเป็นอันมากไปยังพระเชตวันมหาวิหาร  เพื่อเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ  แล้วกราบทูลอาราธนาพระพุทธองค์ให้เสด็จออกไปสรงน้ำฝนในกลางแจ้ง  ทั้งที่ในขณะนั้นก็ไม่มีวี่แววว่าฝนจะตก  ครั้นพระพุทธองค์ทรงอนุเคราะห์รับอาราธนาแล้ว  ทรงผลัดผ้าวัสสิกสาฏกเรียบร้อยแล้ว  เสด็จออกไปประทับในที่กลางแจ้ง  เพื่อทรงสรงน้ำฝนตามคำอาราธนาของมหาชนผู้บริษัททรงทอดพระเนตรแลดูในทิศทั้งหลาย  ด้วยพุทธานุภาพอันมหัศจรรย์  ในทันใดนั้นมหาเมฆก็ตั้งขึ้นเคลื่อนจากปัจฉิมทิศปกคลุมพระนครสาวัตถี  เสียงฟ้าคำรามดังสนั่น  ห่าฝนตกลงมาเป็นอันมาก  นอกจากพระพุทธองค์จะได้สรงน้ำฝน  ณ  ที่กลางแจ้งนั้นแล้ว  มหาชนก็ได้พากันอาบ  ดื่มกินเป็นสุขสำราญโดยทั่วกัน  และโห่ร้องแสดงความยินดีกันทั่วพระนคร

      พระพุทธจริยาตอนนี้  เป็นเหตุให้สร้างพระพุทธรูปที่เรียกว่า  “ปางสรงน้ำฝน