ปางชี้อสุภะ

   

ลักษณะพุทธรูป

     พระพุทธรูปปางนี้  อยู่ในพระอิริยาบถยืน  พระหัตถ์ซ้ายห้อยลงแนบพระกายตามปกติ  ทรงยกพระหัตถ์ขวาขึ้นชี้นิ้วพระหัตถ์ตรงไปข้างหน้าเสมอพระอุระ  เป็นอาการชี้อสุภะ

ประวัติความเป็นมา

     ในกรุงราชคฤห์  มีหญิงนครโสเภณีคนหนึ่งรูปงามมากชื่อว่า  สิริมา  เป็นน้องสาวของนายแพทย์ชีวกโกมารภัจจ์บุรุษที่มีความประสงค์จะอภิรมย์เข้าร่วมนอนเพื่อให้นางบำเรอด้วย  จะต้องจ่ายทรัพย์ให้นาง ๑,๐๐๐  กหาปนะ (เท่ากับเงินสมัยนั้น ๔,๐๐๐บาท)   ต่อ  ๑  คืนดังนั้นนางสิริมา  จึงอยู่ในฐานะเป็นหญิงนครโสเภณีชั้นสูงในเวลานั้น

        วันหนึ่ง  นางอุตตราเศรษฐินี  ผู้เป็นภรรยาของท่านเศรษฐีบุตรในกรุงราชคฤห์  แต่ท่านเศรษฐีบุตรผู้นี้เป็นมิจฉาทิฏฐิส่วนนางอุตตราเป็นอุบาสิกา  มีจิตเลื่อมใสและมั่นคงในพระพุทธศาสนา  นับแต่นางได้จากเรือนมาผู้ร่วมกับท่านเศรษฐีบุตรแล้ว  ไม่มีเวลาได้บำเพ็ญทาน  รักษาศีล  และฟังพระธรรมเทศนาเลย  เป็นความลำบากใจมากที่สุดที่จะทนทานได้  นางจึงส่งคนไปแจ้งเรื่องความเดือดร้อนให้ท่านปุณณเศรษฐีผู้บิดาทราบ  พร้อมกับขอเงินก้อนหนึ่งเพื่อเอามาบำเพ็ญกุศล  เมื่อนางอุตตราได้เงินสมใจแล้ว  จึงได้ขอโอกาสทำบุญต่อสามี  ๑๕  วันโดยนางจะไปหานางสิริมา  มาปฏิบัติหน้าที่แทนตัว  ครั้นสามียินยอมแล้ว  นางก็ให้ไปเชิญนางสิริมามาพบ  และขอร้องนางสิริมาให้ช่วยอนุเคราะห์รับธุระปฏิบัติสามีของตนให้  ๑๕  วันโดยจะยอมจ่ายเงินตอบสนองให้ตามระเบียบ  แม้อาหารการบริโภคทุกอย่างก็จะไม่ให้เดือดร้อน  จะบำรุงให้มีความสุขทุกประการตลอดเวลาที่มารับหน้าที่แทนชั่วคราวนั้น

        ครั้นนางสิริมาตกลงรับหน้าที่เป็นภริยาชั่วคราวแทนตัวแล้ว  นางอุตตราก็ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าที่พระเวฬุวันมหาวิหาร  กราบทูลเรื่องของนางให้ทรงทราบดีแล้ว  ก็ทูลอาราธนาให้พระองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จไปเสวยอาหารบิณฑบาตที่เรือนตนตลอดเวลา  ๑๕  วันพระบรมศาสดาทรงพระกรุณาได้ทรงอนุเคราะห์พาพระภิกษุสงฆ์ไปทรงทำภัตตกิจที่เรือนของนางอุตตรา  อุบาสิกา  และทรงแสดงธรรมเทศนาโปรดทุกวัน  นางอุตตราก็นำทาสและคนใช้ในบ้านเข้าโรงครัวใหญ่  จัดทำอาหารด้วยมือของนางเองอยู่ตลอดเวลา  ด้วยศรัทธาและปีติปราโมทย์เป็นอย่างยิ่ง

        ครั้นวันที่  ๑๔  นางอุตตราได้ตระเตรียมอาหารเป็นการใหญ่  ด้วยพรุ่งนี้จะถวายอาหารวันสุดท้ายแล้วขณะนั้นเศรษฐีบุตรสามีของนางอุตตราซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ    ยืนอยู่บนเรือนมองดูอยู่ที่หน้าต่าง  เห็นภรรยาสาละวุ่นวายอยู่ด้วยการครัวดูเนื้อตัวผ้าผ่อนเปอะเปื้อนก็นึกด้วยอารมณ์ขันในใจว่า  “บัดซบจริงๆ ภรรยาของเรานี้  จะนั่งเป็นสุขอยู่เรือนสิไม่ชอบ”  แล้วก็หลบเข้าเรือนไป

        ขณะนั้น  นางสิริมายืนเคียงข้างอยู่ด้วย  เห็นเศรษฐีบุตรยิ้มๆ แล้วหลบไปเช่นนั้น          กลับคิดไปในเรื่องรักๆใคร่ๆว่า เศรษฐีบุตรคงจะไม่พอใจนางอุตตราเป็นแน่  อาศัยที่นางสิริมาอยู่ในฐานะเป็นภริยาชั่วคราว  มีความสุขและเกียรติอันสูงแถมยังได้เงินเป็นค่าจ้างด้วย  แต่กลับลืมตัวไปว่าเขาจ้างมา  เข้าใจว่าตนเป็นภรรยาแท้ๆ เป็นแม่เจ้าเรือนของท่านเศรษฐีบุตร  จึงเกิดความหึงหวง  บันดาลโทสะขึ้นมาผลุนผลันลงจากเรือนตรงไปที่โรงครัว  คว้าเอาทัพพีในมือคนทอดขนมตักน้ำมันในกระทะกำลังเดือดพล่านอยู่  เทลดนางอุตตราตั้งแต่ศีรษะลงไปจนทั่วตัวด้วยอำนาจเมตตาจิตที่นางอุตตรามีอยู่ในนางสิริมา  มิได้มีความโกรธเคืองในการเบียดเบียนนั้นเลย  โดยนึกว่า  นางสิริมาเป็นเพื่อนร่วมบุญกุศลใหญ่ครั้งนี้  ถ้านางสิริมาไม่ช่วยรับภาระแม่เรือนให้แล้ว  ที่ไหนตนจะได้มีโอกาสได้ทำบุญ  ดังนั้นน้ำมันที่ลาดลงบนศีรษะของนางจึงเย็นเหมือนน้ำหอมที่ชะโลมบนผิวกาย  มิได้ระคายผิวกายให้แสบร้อนแม้แต่น้อย

        ขณะนั้น  บรรดาคนครัวทั้งหมด  พากันตกตลึงไปชั่วครู่หนึ่ง  ด้วยคิดไม่ถึงว่า  นางสิริมาจะมาทำร้ายนายผู้หญิงของตนถึงเพียงนั้นและแล้วในทันใดนั้นเองก็เคียดแค้นแทนนายพากันถลันเข้าจิกผมนางสิริมา  กระชากมาตบให้ล้มลงไปนอนกลิ้งอยู่กับพื้น  ปากก็พร่ำด่าเสียงสนั่นลั่นครัว

       มิทันที่คนครัวทั้งหมดที่พากันวิ่งประดังกันเข้ามาเพื่อจะลงมือตุ๊บตั๊บซ้ำเติมนางสิริมาให้ถึงใจด้วยความเคียดแค้น  นางอุตตราได้ลุกถลันยกมือขึ้นพร้อมกับห้ามว่า “อย่า..อย่า..ลูกทุกคนหยุด  ถอยออกไป  ลูก..เจ้าไปทำร้ายเพื่อนรักของแม่ทำไม”  ว่าแล้วก็เข้าไปประคองนางสิริมาให้ลุกขึ้นลูบเนื้อลูบตัวพูดให้นางสิริมาเบาใจ  หายความสะดุ้งหวาดกลัวเตือนความรู้สึกให้คืนสู่สภาพเดิม

        เมื่อนางสิริมาได้สติรู้สึกตัวว่า  ตนหาใช่แม่เจ้าเรือนไม่หาใช่เจ้าของนายบ้านไม่  ที่แท้ก็เป็นเพียงคนรับจ้างนางอุตตรามาปฏิบัติหน้าที่แก่สามีของนาง  ก็ละอายใจ  รู้สึกตนว่าประพฤติผิดมาก  ยิ่งเห็นนางอุตตราไม่โกรธตอบซ้ำแสดงความไมตรีจิตด้วยวาจาและกิริยาน่ารักใคร่เช่นนั้น  ก็ยิ่งเพิ่มความเคารพยำเกรง  ซาบซึ้งในคุณสมบัติของนางอุตตราร้องขอโทษ  ด้วยถ้อยคำอันแสดงชัดว่าตนได้ทำผิดอย่างน่าสงสาร

       นางอุตตรากล่าวว่า  หากแม้สิริมารู้สึกว่าทำผิดไปจริงๆฉันก็พลอยดีใจด้วย  และถ้าแม่สิริมายังยินดีจะขอให้อภัยอดโทษแล้ว  ควรจะไปขอกะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นพระบิดาที่เคารพสูงสุดของดิฉัน

      “ฉันยินดีปฏิบัติตามคำของเธอทุกประการ”  นางสิริมากล่าวสารภาพ  “แต่ฉันยังไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ซึ่งเธออ้างว่าเป็นพระบิดาที่เคารพสูงสุดของเธอนี่”

      “ไม่เป็นการลำบากเลย  แม่สิริมา”  นางอุตตรากล่าวเปิดทาง  “พรุ่งนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จมาเสวยเช้าที่เรือนฉัน  พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์หลายรูปด้วยกัน  แม่สิริมาปลีกเวลามาเฝ้าพระพุทธองค์ที่เรือนฉันซิน๊ะ  พระบิดาของฉันพระทัยดีมาก  จะทรงเอ็นดูเธอ  ฉันคิดว่าเธอจะเลื่อมใสและเคารพรักในพระเมตตาของพระบิดาของฉันมากทีเดียว”

      “คนอาภัพอย่างฉันเช่นนี้  หากพระพุทธองค์จะทรงพระกรุณาโปรดอย่างเช่นเธอว่าก็ดูจะมิเป็นคนมีวาสนามากไปรึ  แม่อุตตรา”  เอาเถอะแม่สิริมา  แล้วเธอจะเห็นเอง  ว่าแต่พรุ่งนี้เช้าอย่าลืมก็แล้วกัน

      “ฉันจะมาตามเวลา”  นางสิริมาพูดแล้วกราบลานางอุตตราขึ้นเรือนไป

      รุ่งขึ้นพระพุทธองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ได้เสด็จไปเรือนนางอุตตรา  เพื่อทำภัตตกิจตามกำหนดอาราธนา  นางอุตตราได้พานางสิริมาพร้อมหญิงคนใช้เข้าเฝ้าถวายอภิวาท  พร้อมกับกราบทูลเรื่องที่เกิดขึ้นประกอบ  เพื่อให้ทรงพระกรุณาประทานอดโทษให้นางสิริมา  กับเพื่อให้ทรงแสดงธรรมเทศนาโปรดอีกด้วย

       พระบรมศาสดาทรงพระกรุณาประทานอภัยโทษ  และทรงอนุโมทนาในธรรมจริยาของนางอุตตรา  พร้อมกับตรัสคาถาประทานด้วยว่า

             “บุคคลควรชำนะความโกรธของเขา  ด้วยความไม่โกรธของเรา

               บุคคลควรชำนะความไม่ดีของเขา  ด้วยความดีของเรา

               บุคคลควรชำนะความตระหนี่ด้วยการเสียสละ

       บุคคลควรชำนะคนพูดพล่อยๆ ด้วยความจริง”  ครั้นแล้ว  ได้ทรงประทานธรรมเทศนาโปรดนางสิริมากับหญิงคนใช้ให้ตั้งอยู่ในพระอิริยบุคคลขั้นโสดาปัตติผล

       ในวันรุ่งขึ้น  นางสิริมาได้ทูลอาราธนาพระบรมศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์  ไปเสวยอาหารบิณฑบาตในเรือนของตนประกาศตนเป็นอุบาสิกาในพระพุทธศาสนา  พร้อมจัดตั้งนิพัทธาหารถวายพระสงฆ์  ขอให้พระพุทธองค์จัดส่งพระภิกษุมารับอาหารบิณฑบาตที่เรือนของตนวันละ ๘  รูปทุกวัน  และจำเดิมแต่กาลนั้นมา  นางสิริมาก็หยุดกิจการนครโสเภณีบำเพ็ญกุศล  ฝักใฝ่อยู่ในกองบุญในพระพุทธศาสนาตลอดมา

        ต่อมาไม่นาน  นางสิริมาได้ป่วยด้วยโรคปัจจุบัน  คือเพียงแต่เวลาเช้ายังลุกขึ้นใส่บาตรพระ  ๘  รูป  ที่เข้ามารับบาตรที่เรือนได้  พอเวลาเย็นก็ถึงแก่กรรม

        พระเจ้าพิมพิสารได้ส่งราชบุรุษ  ให้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ากราบทูลว่า  “บัดนี้  นางสิริมา  น้องสาวหมอชีวกโกมารภัจจ์ได้ถึงแก่กรรมเสียแล้ว  จะทรงโปรดประการใด  พระพุทธเจ้าค่ะในฐานะที่เธอเป็นสาวิกาของพระองค์”

        พระบรมศาสดาตรัสสั่งให้ราชบุรุษกลับไปทูลว่า  ขอให้รอการเผาศพนางสิริมาไว้ก่อนล่วงไปได้  ๓  วัน  ศพนางศิริมาก็พองขึ้นเต็มที่  น้ำเหลืองไหลออกจากทวารทั้ง  ๙  กลิ่นศพเหม็นตลบสุสาน  พระเจ้าพิมพิสารโปรดให้เจ้าพนักงานจัดงานพระราชทานเพลิงศพนางสิริมา  โดยประกาศให้ประชาชนไปพร้อมกันที่สุสาน  แม้พระองค์พร้อมด้วยเสวกามาตย์ราชบริพารก็เสด็จทั้งได้โปรดให้กราบทูลพระบรมศาสดาทรงทราบด้วย

       ครั้นพระบรมศาสดาทรงทราบแล้วก็โปรดให้ประกาศแก่ภิกษุทั้งหลายให้ไปพร้อมกัน  เพื่อเยี่ยมศพนางสิริมาที่สุสานในงานพระราชเพลิงศพนางสิริมา  ณ  บ่ายวันนี้

       ครั้นได้เวลา  พระบรมศาสดาพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ก็เสด็จไปยังสุสานนั้น  ได้ทรงนำพระสงฆ์ประทับยืนทอดพระเนตรดูอยู่ข้างหนึ่ง  ภิกษุณีสงฆ์ก็ยืนอยู่ข้างหนึ่ง  พระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยข้าราชบริพารก็ประทับยืนอยู่ข้างหนึ่ง  เหล่าอุบาสกอุบาสิกา  ประชาชนชายหญิงก็พากันยืนสงบกิริยาดูอยู่อีกข้างหนึ่ง

       พระบรมศาสดารับสั่งถามพระเจ้าพิมพิสารราชมคธว่า  “มหาบพิตรใครนั่น”

             “น้องสาวหมอชีวก  ชื่อ  สิริมา  พระพุทธเจ้าค่ะ”

             “นั่น ! นางสิริมาหรือ  ถวายพระพร”

             “ใช่แล้ว  พระพุทธเจ้าค่ะ”

             “ถ้าเช่นนั้น  ขอมหาบพิตรได้โปรดให้ขายทอดตลาดนางสิริมาใครให้  ๑,๐๐๐ กหปนะ  ก็ให้รับเอานางสิริมาไปได้ทันที”

     ครั้นพระเจ้าพิมพิสารโปรดให้ประกาศตามพระพุทธพจน์แล้ว  ก็หามีผู้ใดผู้หนึ่งมารับซื้อไม่  ดังนั้น  จึงโปรดให้ลดราคามาโดยลำดับจนถึง  หนึ่งกากนิก  ก็ยังไม่ปรากฏคนซื้อ  ในที่สุดก็โปรดรับสั่งว่า “ให้เปล่า”  ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีคนรับ  จึงได้กราบทูลพระบรมศาสดาว่า  “แม้แต่ให้เปล่า  ก็ไม่มีคนต้องการ  พระพุทธฌจ้าค่ะ”

      พระบรมศาสดาทรงชี้ศพนางสิริมา  พร้อมกับรับสั่งแก่ภิกษุทั้งหลายว่า  พวกเธอจงดูสตรีรูปงาม  เป็นที่รักใคร่ของมหาชนในพระนครนี้  แต่ก่อนจะได้ชมนางเพียงหนึ่งวันจะต้องจ่ายทรัพย์ให้นางถึง ๑,๐๐๐ กหาปนะ  แต่บัดนี้แม้จะให้เปล่าก็ไม่มีคนต้องการ  ภิกษุทั้งหลาย  รูปกายนี้ถึงความสิ้นไปเสื่อมไปอย่างนี้แหละ  ท่านทั้งหลายจงพิจารณาดูอัตภาพอันอาดูรให้ตระหนักเถิด  แล้วตรัสคาถาประทานพระธรรมเทศนาแก่มหาชนที่ประชุมกันอยู่  ณ  สุสานนั้นว่า

      “สูเจ้าจงพิจารณาดูร่างกาย  ที่ตกแต่งให้งดงามด้วยอาภรณ์พรรณต่างๆ  เพียบพร้อมด้วยอังคาพยบน้อยใหญ่  มีทวารทั้ง  ๙  สำหรับเป็นทางให้สิ่งปฏิกูลไหลเข้าไหลออกอยู่เป็ฯประจำ  ปรุงแต่งขึ้นด้วยกระดูกหลายร้อยท่อน  อาดูรด้วยความไม่สบายเหมือนเป็นไข้  อันจะต้องแก้ไขด้วยการผลัดเปลี่ยนอิริยาบถอยู่เสมอ  ที่มหาชนมีความใคร่กันอยู่โดยมาก  แต่หาความยั่งยืนคงทนมิได้เลย  ในที่สุดก็แปรสภาพมาเป็นเช่นนี้  ซึ่งทุกคนก็ต้องเป็นเช่นนี้เหมือนกัน”

       พระธรรมเทศนา  ได้อำนวยอริยมรรคอริยผลแก่มหาชนที่ประชุมอยู่  ณ  ที่นั้นเป็นอันมาก

       พระพุทธจริยาทรงชี้ร่างกายเป็นปฏิกูลนี้เป็นเหตุให้สร้างพระพุทธรูปที่เรียกว่า  “ปางชี้อสุภะ