ปางบำเพ็ญทุกกรกิริยา

   

ลักษณะพระพุทธรูป 

    พระพุทธรูปปางนี้  อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิพระหัตถ์ทั้งสองซ้อนวางกันวางบนพระเพลา  พระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้าย อุตตราสงค์(จีวร) อยู่บนพระอังสาเล็กน้อยข้างขวาหลุดลงมาอยู่บนพระเพลา  บางแห่งทำแบบจีวรหลุดลงมาหมด  พระกายซูบผอม  จนพระอิฐ  พระนหารู  (เอ็น)ปรากฏชัด

 ประวัติความเป็นมา

    พระมหาบุรุษบรมโพธิสัตว์ทรงบรรพชาแล้วเสด็จประทับแรมอยู่ที่อนุปิยอัมพวันแขวงมัลลชนบทชั่วเวลา  ๗  วัน  แล้วเสด็จจาริกไปในต่างแดนเข้าเขตมคธชนบท  แล้วเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์  ทรงมีกิริยาสงบแผกจากบรรพชิตอื่น  ในเวลานั้นพระองค์จึงเกิดเป็นบรรพชิตที่สำคัญควรที่ผู้มีปัญญาจะพึงสำเนียกดูพฤติการณ์  ดังนั้นพวกราชบุรุษจึงได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระเจ้าพิมพิสาร  ราชาธิบดีแห่งมคธให้ทรงทราบ  ท้าวเธอจึงรับสั่งให้สะกดรอยติดตามเพื่อพิสูจน์ความเท็จจริงของบรรพชิตพิเศษรูปนี้  ครั้นราชบุรุษผู้ออกติดตามได้ทราบความจริงตามที่ได้สังเกตเห็นแล้ว  จึงนำความขึ้นกราบบังคมทูลแด่พระเจ้าพิมพิสาร  ราชาธิบดีแห่งมคธให้ทรงทราบทุกประการ

    ครั้นพระเจ้าพิมพิสารได้ทรงทราบ  ก็มีพระทัยโสมนัสในพระคุณสมบัติทรงมีพระประสงค์จะได้เข้าเฝ้า  จึงเสด็จด้วยพระราชยานออกจากพระนครโดยด่วน  ครั้นเสด็จถึงบัณฑวะบรรพตก็เสด็จลงจากพระราชยาน   ทรงดำเนินเข้าไปเฝ้าพระมหาบุรุษบรมโพธิสัตว์เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นพระอิริยาบถเรียบร้อยอยู่ในสมณสังวร  ก็ยิ่งหลากพระทัย  ทรงเลื่อมใสในปฏิปทายิ่งขึ้น  จึงตรัสถามถึงตระกูล  ประเทศและชาติเมื่อทรงทราบว่าเป็นขัตติยศากยราชเสด็จออกบรรพชา  ก็ทรงดำริว่าชะรอยพระมหาบุรุษบรมโพธิสัตว์จะทรงพิพาทกับพระประยูรญาติด้วยเรื่องราชสมบัติเป็นแม่นมั่น  จึงได้ทรงเสด็จออกบรรพชาอันเป็นธรรมดาของนักพรต  ที่ออกจากราชตระกูลในกาลก่อนจึงทรงชักชวนเชื้อเชิญพระมหาบุรุษบรมโพธิสัตว์ด้วยราชสมบัติซึ่งพระองค์ยินดีจะแบ่งถวายให้เสวยราชสมบัติสมพระเกียรติทุกประการ

       พระมหาบุรุษบรมโพธิสัตว์ตรัสตอบขอบพระทัย  พระเจ้าพิมพิสารที่ทรงมีพระเมตตาแบ่งราชสมบัติ   พระราชทานแต่พระองค์มิได้มีความประสงค์จำนงหมายเช่นนั้น  ทรงสละสมบัติออกผนวช  เพื่อจะมุ่งแสวงหาพระสัมมาสัมโพธิญาณโดยแท้  พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงสดับก็ตรัสอนุโมทนา  และทูลขอปฏิญญากะพระมหาบุรุษบรมโพธิสัตว์ว่า  ถ้าพระองค์ได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณสมประสงค์แล้ว  ขอให้ทรงพระกรุณาเสด็จมาแสดงธรรมโปรดด้วย  ครั้นพระมหาบุรุษบรมโพธิสัตว์ทรงรับปฏิญาณแล้ว  ก็ถวายบังคมลากลับพระนคร

        ลำดับนั้น  พระมหาบุรุษโพธิสัตว์ก็เสด็จจาริกจากที่นั้นไปสู่สำนักท่านอาฬารดาบสกาลมโคตร  ซึ่งสร้างอาศรมอยู่ในพนาสณฑ์ตำบลหนึ่งขอพำนักศึกษาวิชาและปฏิบัติอยู่ด้วย  ทรงศึกษาอยู่ไม่นานก็ได้บรรลุสมาบัติ  ๗  คือ  รูปฌาน  ๔  อรูปฌาน  ๓  สิ้นความรู้ของอาฬารดาบส  ทรงเห็นว่าธรรมเหล่านี้มิใช่ทางตรัสรู้  จึงได้อำลาจากอาฬารดาบสไปสู่สำนักอุทกดาบสรามบุตร  ขอพำนักศึกษาอยู่ด้วยทรงศึกษาได้อรูปฌานเพิ่มขึ้น อีก ๑ ครบสมาบัติ ๘ สิ้นความรู้ของอุทกดาบส  ครั้นทรงไต่ถามถึงธรรมวิเศษขึ้นไป  อุทกดาบสก็ไม่สามารถจะบอกได้  และได้ยกย่องตั้งพระมหาบุรุษบรมโพธิสัตว์ไว้ในที่เป็นอาจารย์เสมอด้วยตน  แต่พระมหาบุรุษบรมโพธิสัตว์ทรงเห็นว่า  ธรรมเหล่านี้มิใช่ทางตรัสรู้  จึงได้อำลาออกแสวงหาธรรมวิเศษสืบไป  ทั่งมุ่งพระทัยจะทำความเพียรโดยลำพังพระองค์ด้วย  ได้เสด็จจาริกไปยังมคธชนบท  บรรลุถึงตำบลอุรุเวลา  เสนานิคม  ได้ทอดพระเนตรเห็นพื้นที่ราบรื่น  แนวป่าเขียวสด  เป็นที่เบิกบานใจแม้น้ำไหล  มีน้ำใสสะอาด  มีท่าน่ารื่นรมย์  โคจรคามคือหมู่บ้านที่อาศัย  เที่ยวภิกษาจารก็ตั้งอยู่ไม่ไกล  ทรงเห็นว่าสถานที่นั้นควรเป็นที่อาศัยของกุลบุตร  ผู้มีความต้องการด้วยความเพียรได้จึงได้เสด็จประทับอยู่  ณ  ที่นั้น

        ฝ่ายโกณฑัญญพราหมณ์  ได้ทราบข่าวว่า  พระสิทธัตถกุมาร  เสด็จออกบรรพชาแล้วก็ดีใจ  รีบไปชักชวนบุตรของเพื่อนพราหมณ์  ๘  คนที่ร่วมคณะถวายคำทำนายพระลักษณะด้วยกันโดยกล่าวว่า  บัดนี้  พระสิทธัตถกุมารได้เสด็จออกบรรพชาแล้ว  ตามคำพยากรณ์พระองค์จะต้องได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยแท้  ไม่มีข้อที่จะสงสัยไปเป็นอื่นถ้าบิดาของท่านยังมีชีวิตอยู่  ก็ออกบรรพชาด้วยกันในวันนี้แน่ดังนั้นหากท่านปรารถนาจะบวช   ก็จงมาบวชตามเสด็จพระกุมารด้วยกันเถิด  แต่บุตรพราหมณ์ทั้ง  ๗  นั้น  หาได้พร้อมใจกันทั้งหมดไม่  ยินดีรับจะออกบวชด้วยเพียง  ๔  คนเท่านั้นโกณฑัญญพราหมณ์  ก็พาพราหมณ์มาณพทั้ง  ๔  คน  ออกบรรพชา  เป็น  ๕  คนด้วยกันจึงได้นามว่า  “พระปัญจวัคคีย์”  เพราะมีพวก  ๕  คน คือ  โกณฑัญญะ  วัปปะ  ภัททิยะ  มหานามะและอัสสชิ  ได้ชวนกันออกสืบเสาะติดตามพระมหาบุรุษบรมโพธิสัตว์ในที่ต่างๆ  จนไปประสบพบพระมหาบุรุษโพธิสัตว์ที่ตำบลอุรุเวลา  เสนานิคม  จึงได้พากันเข้าไปถวายอภิวาทแล้วอยู่ปฏิบัติบำรุงจัดทำธุรกิจถวายทุกประการโดยหวังว่า  เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว  จะได้แสดงธรรมโปรดตนบ้าง

        มหาบุรุษบรมโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา  ซึ่งเป็นปฏิปทาที่นิยมว่าเป็นทางให้ได้ตรัสรู้ในสมัยนั้น  โดยทรงทรมานพระกายให้ลำบาก  อันเป็นกิจยากที่บุคคลจะกระทำได้ด้วยการทรมานเป็น  ๓  วาระดังนี้คือ :-

       วาระที่  ๑  ทรงกดพระทนต์ด้วยพระทนต์  กดพระตาลุด้วยพระชิวหาไว้ให้แน่น  จนพระเสโทไหลโซมจากพระกัจฉะ  ในเวลานั้นได้เสวยทุกขเวทนาอันกล้า  เปรียบเหมือนบุรุษมีกำลังมาก  จับบุรุษที่มีกำลังน้อยที่ศีรษะหรือที่คอบีบให้แน่นฉะนั้น  แม้พระกายจะกระวนกระวายไม่สงบระงับอย่างนี้  แต่ทุกขเวทนานั้นไม่อาจครอบงำพระหฤทัยให้กระสับกระส่ายได้  พระองค์มีสติตั้งมั่นไม่ฟั่นเฟือน  ทรงบากบั่นมั่นในความเพียรติดต่อไม่ท้อถอย  ครั้นทรงเห็นว่าการทำอย่างนั้นไม่ใช่ทางให้ตรัสรู้ได้แล้ว  จึงเปลี่ยนวิธีอื่นต่อไป

       วาระที่  ๒  ทรงผ่อนกลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะ  เมื่อลมเดินไม่ได้สะดวกทางช่องพระนาสิกและช่องพระโอษฐ์  ก็เกิดเสียงดังอู้ทางช่องพระกรรณทั้งสองข้างให้ปวดพระเศียรเสียดพระอุทร  ร้อนในพระกายเป็นกำลัง  แม้จะได้เสวยทุกขเวทนาอันกล้าถึงเพียงนั้น  แต่ทุกขเวทนานั้นก็ไม่อาจครอบงำพระหฤทัยให้กระสับกระส่ายได้  ทรงมีพระสติไม่ฟั่นเฟือน  ทรงบากบั่นมั่นในการปรารภความเพียรติดต่อไม่ย่อหย่อน  ครั้นทรงเห็นว่า  การกระทำอย่างนี้  ไม่ใช่ทางให้ตรัสรู้ได้  จึงทรงเปลี่ยนวิธีอื่นต่อไป

       วาระที่  ๓  ทรงอดพระกยาหาร  ทรงผ่อนเสวย  ลดอาหารให้น้อยลงๆ ในที่สุดก็ไม่เสวยเลย  จนพระวรกายเหี่ยวแห้งพระฉวีเศร้าหมอง  พระอัฐิปรากฏทั่วพระวรกาย  เมื่อทรงลูบพระกาย  เส้นพระโลมามีรากเน่าก็ล่วงจากขุมพระโลมา  พระกำลังก็น้อยถอยลง  จนเสด็จไปข้างไหนก็ซวนล้ม  ชนทั้งหลายที่ได้พบเห็นแล้วก็กล่าวกันว่าพระโคดมดำไปบ้าง  บางพวกก็กล่าวว่าไม่ดำแต่คล้ำไปบ้าง  บางพวกก็กล่าวว่าไม่เป็นอย่างนั้นเป็นแต่พร้อยไปบ้าง  อยู่มาวันหนึ่งทรงอ่อนพระกำลังอิดโรยหิวโหยเป็นที่สุด  จนไม่สามารถจะทรงพระวรกายไว้ได้  ก็ทรงวิสัญญีภาพล้มลงในที่นั้น

       ขณะนั้นเทพยดาองค์หนึ่งสำคัญผิดคิดว่า  พระมหาบุรุษบรมโพธิสัตว์สิ้นพระชนม์แล้ว  จึงรีบไปยังปราสาทพระเจ้าสุทโธทนะ  ณ  กรุงกบิลพัสดุ์  ทูลว่าบัดนี้  พระสิทธัตถะพระราชโอรสของพระองค์ได้สิ้นพระชนชีพเสียแล้ว  พระเจ้าสุทโธทนะรับสั่งถามว่า  พระโอรสของเราได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าหรือยังเป็นประการใด  เทพยดาตอบว่า  ยังมิได้ตรัสรู้ท้าวเธอไม่ทรงเชื่อจึงรับสั่งว่า  จะเป็นเช่นนั้นไปไม่ได้หากพระโอรสของเรายังมิได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว  จะไม่ด่วนทำลายพระชนม์ชีพก่อนเลย  แล้วเทพยดาองค์นั้นก็อันตรธานจากพระราชนิเวศน์ไป 

       ส่วนพระมหาบุรุษบรมโพธิสัตว์  เมื่อได้สัญญาพื้นพระกายคุมพระสติให้ตั้งมั่นทรงพิจารณาดูปฏิปทาในการบำเพ็ญอยู่ก็ทรงดำริว่า  ถึงบุคคลทั้งหลายใดๆ ในโลกนี้จะทำทุกกรกิริยาอุกฤษฏ์นี้  บุคคลนั้นก็ทำทุกกรกิริยาให้เสมออาตมะเท่านั้น  จะทำให้ยิ่งกว่าอาตมะหาได้ไม่  แม้อาตมะปฏิบัติอย่างอุกฤษฏ์ถึงเพียงนี้แล้ว  ไฉนหนอจึงไม่ได้พระบรรลุพระโพธิญาณ  ชรอยทางตรัสรู้จะมีอย่างอื่น  ไม่ใช่อย่างนี้แน่  เกิดพระสติหวลระลึกถึงความเพียรทางใจว่า  จะเป็นทางให้ตรัสรู้บ้าง

       ขณะนั้น  สมเด็จอมรินทราธิราชทรงทราบข้อปริวิตกของพระมหาบุรุษบรมโพธิสัตว์  ดังนั้นจึงทรงพิณทิพย์สามสายมาดีดถวายพระมหาบุรุษโพธิสัตว์  สายหนึ่งตึงนัก  พอดีดหน่อยก็ขาด  สายหนึ่งหย่อนนัก  พอดีดก็ไม่ส่งเสียง  สายหนึ่งไม่ตึงไม่หย่อนเกินไป  พอปานกลาง  ดีดเข้าก็บันลือเสียงไพเราะเจริญใจ  เมื่อพระมหาบุรุษบรมโพธิสัตว์ได้สดับเสียงพิณ  ทรงหวลระลึกถึงพิณที่เคยทรงมาแต่ปางก่อน  ก็ทรงตระหนักแน่แก่พระทัย  และถือเอาเป็นนิมิต  ทรงพิจารณาเห็นแจ้งว่า  ทุกกรกิริยามิใช่ทางตรัสรู้แน่  ทางแห่งพระโพธิญาณที่ควรแก่การตรัสรู้ต้องเป็นมัชฌิมาปฏิปทา  บำเพ็ญเพียรทางจิตปฏิบัติปานกลาง  ไม่ตึงนัก  ไม่หย่อนนัก  จึงใครจะทรงตั้งปณิธานทำความเพียรทางจิต  ทรงเห็นว่าความเพียรทางจิตเช่นนั้น   คนซูบผอมหากำลังมิได้เช่นอาตมะนี้  ย่อมไม่สามารถจะทำได้  ควรจะหยุดพักกินอาหารแข้น  คือ  ข้าวสุก  ขนมสด ให้มีกำลังดีก่อน  ครั้นตกลงพระทัยเช่นนั้นแล้ว  ก็กลับเสวยพระกระยาหารอีก  เพื่อบำรุงพระวรกายตามเดิม