ปางชี้มาร |
ลักษณะพุทธรูป พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ซ้ายห้อยลงข้างพระวรกายตามปกติ พระหัตถ์ขวายกขึ้นชี้นิ้วพระหัตถ์ไปข้างหน้าเสมอพระเนตรเป็นอาการชี้มาร ประวัติความเป็นมา เมื่อพระโคธิกเถระ ได้บำเพ็ญสมณธรรมอยู่ที่กาลสิลาข้างภูเขาอิสิคิริด้วยความไม่ประมาท เพียบพร้อมด้วยความเพียรเป็นผลให้สำเร็จอรหัตผลเป็นพระอรหันต์แล้วจึงปรินิพพานพระบรมศาสดาทรงทราบจึงพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกไปเยี่ยมพระโคธิกเถระที่กุฏิของท่าน ขณะนั้นมารคิดว่าวิญญาณของพระโคธิกเถระเพิ่งออกจากร่าง จึงได้บังคับกายเข้าไปในก้อนเมฆเพื่อแสวงหาวิญญาณอยู่ในอากาศ พระพุทธองค์จึงได้ทรงยกพระหัตถ์ชี้มารตรัสบอกพวกภิกษุทั้งหลายที่กำลังยืนอยู่ข้างๆว่า “นั่นแหละมารใจลามก กำลังแสวงหาวิญญาณพระโคธิกะอยู่” ภิกษุทั้งหลาย หาได้มีวิญญาณอยู่ในที่นั้นไม่ ด้วยเธอได้ปรินิพพานเสียแล้ว เมื่อมารไม่เห็นที่ตั้งของวิญญาณพระโคธิกะ จึงได้แปลงเพศเป็นมาณพน้อย ถือพิณสีเหลืองดุจผลมะตูมสุก เข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดาแล้วทูลถามว่า “พระโคธิกะอยู่ ณ ที่ไหนพระเจ้าข้า ข้าพระองค์เที่ยวตามหาทั่วทุกทิศทุกทางแล้ว ก็มิได้พบเลย” พระบรมศาสดาตรัสว่า มาร เจ้าต้องการอะไรด้วยสถานที่เกิดของพระโคธิกะคนอย่างเจ้า ให้ตั้งร้อยตั้งพันก็ไม่อาจเห็นสถานที่พระโคธิกะเกิดได้ ด้วยพระโคธิกะเป็นปราชญ์สมบูรณ์ด้วยปัญญา ยินดีอยู่ในฌานเสมอ ทำความเพียรทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่อาลัยไยดีในชีวิต ชำนะเสนาแห่งมฤตยูแล้วไม่มายังภพนี้อีก ได้ถอนตัณหาสิ้นเชิง และปรินิพพานแล้ว มารได้สดับพระพุทธดำรัสแล้ว ตกตลึงด้วยคาดไม่ถึงพิณได้พลัดตกจากรักแร้ทันที แล้วได้อันตรธานหายวับไปในทันใดนั้นเอง พระบรมศาสดาได้ตรัสพระคาถาประทานแก่ภิกษุทั้งหลายว่าผู้ที่มีศีลบริบูรณ์ อยู่ด้วยความไม่ประมาท ย่อมถึงวิมุติ เพราะฌานหยั่งรู้ชอบแล้ว มารจะไม่ประสบทางของท่านได้เลย พระพุทธจริยาตอนทรงชี้มารนี้เอง เป็นเหตุให้สร้างพระพุทธรูปที่เรียกว่า “ปางชี้มาร” |