ผู้เป็นเอตทัคคะด้านการบวชด้วยศรัทธา
พระรัฐบาลเถระ เป็นบุตรของรัฐปาลเศรษฐี เมืองถุลลโกฏฐิตนิคม แคว้นกุรุ
ท่านได้ทราบข่าวว่า พระบรมศาสดาเสด็จถึงถุลลโกฏฐิตนิคม จึงเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาเพื่อทูลขออุปสมบท เกิดศรัทธาอย่างแรงกล้า ได้อดข้าวประท้วงจนบิดามารดาต้องยอมอนุญาตให้บวชในที่สุด
ครั้นบวชแล้วประมาณรึ่งเดือน ได้ตามเสด็จพระพุทธองค์ไปกรุงสาวัตถี บำเพ็ญเพียรวิปัสสนากัมมัฏฐานใช้เวลา 12 ปี จึงได้บรรลุอรหันตผลสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ในที่สุด
พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมซึ่งทำให้พระรัฐบาลรู้เห็นและได้ฟังแล้วเกิดดวงตาเห็นธรรม ด้วยบทอุเทศแห่งธรรม 4 ข้อ (ธัมมุทเทส) คือ
1. โลกอันชรานำเข้าไป ไม่ยั่งยืน
2. โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน
3. โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละสิ่งทั้งปวง
4. โลกพร่องอยู่เป็นนิตย์ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา
“ปัญญาจึงประเสริฐกว่าทรัพย์ เพราะปัญญาเป็นเหตุให้ถึงที่สุด คือ พระนิพพานในโลกนี้ได้เพราะยังไม่บรรลุถึงพระนิพพาน ผู้คนจึงทำบาปกรรมกันมากมายในภพน้อยภพใหญ่ด้วยความหลง
สัตว์โลกผู้ทำบาปกรรมไว้ย่อมเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไป ย่อมเข้าถึงกำเนิดมนุษย์บ้าง โลกอื่นบ้าง โจรผู้มีบาปธรรมถูกเขาจับได้ในที่เกิดเหตุย่อมเดือดร้อนเพราะการกระทำของตน ฉันใด ประชาสัตว์ผู้มีบาปธรรมละโลกนี้ไปแล้วย่อมเดือดร้อนในโลกหน้าเพราะกรรมของตน ฉันนั้น”
สัตว์โลกทั้งหลายทั้งหนุ่มทั้งแก่ เมื่อสรีระแตกดับย่อมตายตกไปเหมือนผลไม้หล่น ขอถวายพระพร อาตมภาพรู้แจ้งซึ่งเหตุนี้จึงได้ออกบวช ความเป็นสมณะเป็นข้อปฏิบัติอันไม่ผิดเป็นสิ่งประเสริฐแท้”
ผู้มีปัญญาถึงมีตาดี ก็พึงทำเป็นเหมือนคนตาบอดเสียบ้าง ถึงมีหูดี ก็พึงทำเป็นเหมือนคนหูหนวกเสียบ้าง ถึงมีปัญญาดีก็พึงทำเป็นเหมือนคนใบ้เสียบ้าง ถึงเป็นคนแข็งแรง ก็พึงทำเป็นเหมือนคนทุรพลเสียบ้าง แต่เมื่อประโยชน์เกิดขึ้น ถึงจะนอนใกล้ตายอยู่ก็พึงทำประโยชน์นั้น