พระยโสชเถระ เกิดในตระกูลชาวประมง พระนครสาวัตถี บิดาเป็นหัวหน้าชาวประมง 500 ตระกูล วันที่คลอดจากครรภ์มารดา ภรรยาชาวประมงทุกคนคลอดลูกออกมาพร้อมกันเป็นชายทั้งหมด
ท่านได้เป็นใหญ่กว่าเด็กเหล่านั้น โดยยศ โดยเดช ทุกคนรักใคร่นับถือสนิทสนมกันมาก วันหนึ่งพวกสหายเหล่านั้นทอดแหได้ปลาทองตัวใหญ่ ปากเหม็น จึงจับใส่ในเรือไปถวายพระเจ้าปเสนทิโกศล ด้วยคิดว่าคงได้รางวัลมาก
พระบรมศาสดาได้ตรัสบอกแก่ชนเหล่านั้นว่า ปลานี้เมื่อก่อนเป็นพระเถรชื่อ กปิละ เป็นพหูสูตร มีบริวารมาก แต่ประพฤติย่อหย่อนในพระธรรมวินัย ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ มัวเมาในวิชาความรู้ ในลาภ ใช้วาจาหยาบคาย เพราะถือตัวรู้ดีกว่าใครๆ เที่ยวพูดถึงสิ่งมีโทษว่า ไม่มีโทษ พูดถึงสิ่งที่ไม่มีโทษว่า มีโทษ แม้พระอื่นๆ ตักเตือนก็ไม่เชื่อฟัง ยังดูหมิ่นว่า “พวกท่านจะไปรู้อะไร พวกท่านเช่นกับกำมือเปล่า” เป็นต้น แล้วยังขู่ตวาดอยู่ตลอด
เมื่อพระกปิละสิ้นอายุ ไปเกิดในอเวจีมหานรก ไหม้ในนรกสิ้นพุทธธันดรหนึ่ง แล้วมาเกิดเป็นปลาใหญ่ในแม่น้ำอจิรวดี มีสีเหมือนทองเพราะเคยสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้าสิ้นกาลนาน แต่มีปากเหม็นเพราะเศษวิบากปากร้ายยังเหลืออยู่ ต่อจากนั้นได้ตรัสกปิลสูตรว่า “นักปราชญ์ทั้งหลายได้กล่าวการประพฤติธรรม 1 ประการประพฤติพรหมจรรย์ 1 นั้น ว่าเป็นแก้วอันสูงสุด” และได้ตรัสพระคาถาว่า “ตัณหาดุจเถาย่านทรายย่อมเจริญแก่คนผู้มีปกติประพฤติประมาท เขาย่อมเร่ร่อนไปสู่ภพน้อยภพใหญ่ ดั่งวานรตัวปรารถนาผลไม้ โลดไปในป่า ฉะนั้น”
ในที่สุดแห่งพระธรรมเทศนา บุตรชาวประมงทุกคน มียโสชะเป็นหัวหน้า ถึงความสังเวช ปรารถนาทำที่สุดแห่งทุกข์ จึงบวชในสำนักพระพุทธเจ้า ไม่ประมาท อุตสาหะบำเพ็ญสมณธรรม เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน ต่อมาไม่นาน ก็ได้สำเร็จพระอรหัตผลพร้อมกันทั้งหมดภายในพรรษานั้น