พระองคุลีมาลเถระได้สั่งสมบุญกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งการหลุดพ้นไว้ในอดีตชาติที่เป็นชาาวนา ได้ทำการก่อกองไฟถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าในขณะที่กำลังเปียกน้ำฝนและเหน็บหนาวชาติสุดท้ายจึงถึงพร้อมด้วยกำลังดัง 7 ช้างสาร
ท่านถือกำเนิดในโจโรฤกษ์ เป็นบุตรของคัคพราหมณ์ ปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศลในเมืองสาวัตถี ยามที่ท่านเกิดมา ปรากฏว่าอาวุธทุกอย่างในพระนครลุกเป็นไฟ แม้กระทั่งพระแสงศาสตราวุธของพระราชา บิดาจึงตั้งชื่อแก้เคล็ดว่า “อหิงสกะ” แปลว่า ผู้ไม่เบียดเบียน
อหิงสกะได้เดินทาวไปเรียนศิลปวิทยาที่เมืองตักศิลา ได้ปรนนิบัติอจารย์ด้วยดี แต่หมู่ศิษย์ด้วยกันริษยายุยงอาจารย์ให้เกลียดชัง ทำให้อาจารย์เกรงกลัวว่าอหิงสกะมีกำลังมาก อาจเป็นอันตรายต่อตน จึงหลอกให้ไปตัดนิ้วมือขวาของมนุษย์มาให้ครบหนึ่งพันนิ้วเพื่อบูชาอาจารย์
เมื่ออหิงสกะได้พบพระบรมศาสดา และต้องการนิ้วมืออีก 1 นิ้วตะครบพัน จึงวิ่งไล่ตามพระพุทธองค์ แต่วิ่งอย่างไรก็วิ่งไม่ทัน จึงได้ฉุกคิดในคำตรัสว่า “เราหยุดแล้ว แต่ท่านยังไม่หยุด” องคุลีมาลจึงทูลถามว่า “สมณะ ข้าพเจ้าขอถามท่านว่า ท่านหยุดแล้วเป็นอย่างไร ข้าพเจ้ายังไม่หยุดเป็นอย่างไร?”
“ดูก่อนองคุลีมาล เราวางอาชญาในสัตว์ทั้งปวงเสียแล้ว ส่วนท่านไม่สำรวมในสัตว์ทั้งหลาย ฉะนั้น เราได้ชื่อว่าหยุดแล้ว ส่วนท่านได้ชื่อว่า...ยังไม่หยุด”
องคุลีมาลได้ยินพระสุรเสียงอันแจ่มใส พระดำรัสที่คมคายเช่นนั้น ก็เกิดใจอ่อน รู้สึกสำนึกผิดได้ทันทีแล้ววางดาบ ทิ้งธนู สลัดแล่งโยนทิ้งลงเหว เข้าไปถวายบังคมพระบาทยุคลของพระพุทธองค์ทูลขอบวชในพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ทรงอนุญาให้บวชด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา โดยทรงพิจารณาเห็นว่าองคุลีมาลนั้นถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยและได้เคยถวายภัณฑะ คือ บริขาร 8 แก่ท่านผู้มีศีลในปางก่อน ก็ทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาออกจากบังสกุลจีวร เปล่งพระสุรเสียง ตรัสเรียกว่า เธอ จงมาเป็นภิกษุเถิด จงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด พร้อมกับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นนั่นเอง เพศคฤหัสถ์ขององคุลีมาลนั้นก็อันตรธานไป บรรพชาและอุปสมบทก็สำเร็จ องคุลีมาลนั้นก็เป็นผู้ปลงผมนุ่งห่มผ้ากาสาวะ คือนุ่งผ้าอันตรวาสกผืนหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์ผืนหนึ่ง พาดผ้าสังฆาฏิไว้บนบ่าผืนหนึ่ง มีบาตรดินที่มีสีเหมือนดอกอุบลเขียวคล้องไว้ที่บ่าข้างซ้าย พร้อมด้วยบริขารอื่นคือ มีดโกน เข็ม และผ้ารัดประคดเอว และผ้ากรองน้ำเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยอริยาบถ เหมือนพระเถระอายุพรรษาตั้งร้อยพรรษา มีพระพุทธเจ้าเป็นพระอาตารย์ มีพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัชฌายะ ยืนถวายบังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ทีเดียว
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ให้พระเถระกระทำสัจจกิริยาโดยอ้างอริยชาติ ด้วยเล็งเห็นว่า พระองคุลีมาลต้องกระทำชาติ(ที่เป็นคฤหัสถ์) นั้นให้เป็นอัพโพหาริก(เป็นโมฆะ) คือให้พระเถระไม่คิดถึงเรื่องในเมื่อครั้งเป็นคฤหัสถ์ แต่ให้ท่านได้มีความเข้าใจว่า ท่านเกิดใหม่ในอริยชาติแล้ว ให้ท่านคิดดังนี้ก่อน แล้วเจริญวิปัสสนา จักบรรลุพระอรหันตต์ได้ ต่อมาองคุลีมาลภิกขุก็หลีกออกจากคณะไปบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ผู้เดียวไม่นานัก ได้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา
ในเรื่องนี้การบวชให้องคุลีมาลก็เป็นเหตุให้พระพุทธองค์ทรงบัญญัติพระวินัยว่า ภิกษุไม่พึงให้โจรที่ขึ้นชื่อโด่งดังบวชในพระพุทธศาสนา โดยในเรื่องนี้ประชาชนได้เพ่งโทษ ติเตียน โพนทนาว่าไฉนพระสมณะเชื่อสายศากยบุตร จึงให้โจรที่ขึ้นชื่อโด่งดังบวชเล่า