ปางประสานบาตร

   

ลักษณะพุทธรูป

     พระพุทธรูปปางนี้  อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิราบมีบาตรวางอยู่บนพระเพลา  พระหัตถ์ซ้ายประคองบาตร  ยกพระหัตถ์ขวาขึ้นวางปิดปากบาตร  โดยแบพระหัตถ์คว่ำปิดปากบาตรเป็นกิริยาทรงอธิษฐานประสานบาตร

ประวัติความเป็นมา

     เมื่อพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับเสวยวิมุตติสุขอยู่  ณ  ภายใต้ต้นไม้เกตอันมีนามว่า  “ราชายตนะ”  อันตั้งอยู่ด้านทิศทักษิณแห่งต้นพระศรีมหาโพธิ  สมัยนั้น  พานิช  ๒  คน คือ ตปุสสะและภัลลิกะ  ซึ่งเป็นพ่อค้าเกวียนได้นำสินค้าเป็นอันมากเดินทางไกล  มาจากอุกกลชนบทผ่านมาในไพสณฑ์  เข้าตำบลอุรุเวลาเสนานิคมประเทศ    ซึ่งเป็นเขตที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่  ขณะนั้นเทพดา  ซึ่งเป็นสายโลหิตของพานิชทั้ง ๒ มาแต่ปางก่อน  ปรารถนาจะสงเคราะห์จึงบันดาลด้วยเทวานุภาพ  ให้เกวียนทั้งหมดหยุดนิ่งเหมือนถูกตรึงล้อเกวียนไว้กับพื้นพสุธา

        ตปุสสะและภัลลิกะ  ตกใจกลัวจึงพยายามแก้ไขหลายวิธีก็ไร้ผล  ในที่สุดพานิชทั้งสอง จึงทำพิธีพลีกรรมบวงสรวงเทพดาเจ้าป่า  ขอให้ตนได้พากองเกวียนสินค้าเคลื่อนจากที่นี้ไปยังที่ซึ่งตนปรารถนาเถิด  ขณะนั้นเทพเจ้าองค์นั้นจึงแสดงกายให้ปรากฏ  และชี้บอกทางแก่พานิชทั้ง ๒ คนว่า  ดูกรท่านผู้นิรทุกข์  บัดนี้ท่านพระผู้มีพระภาคได้ตรัสรู้ใหม่ๆ ขณะนี้เสด็จประทับอยู่ใต้ร่มไม้ราชายตนะนั้น  นับว่าเป็นโชคลาภของท่านทั้งสอง  ขอให้ท่านจงไปเฝ้าพระองค์ยังที่ประทับ  ทำการอภิวาทด้วยความเคารพแล้วน้อมเอาข้าวสัตตุผง  สัตตุก้อนเข้าไปถวายแด่พระองค์เถิด  ผลแห่งทานครั้งนี้จะล้ำเลิศอำนวยประโยชน์สุขแก่ท่านทั้งสองสิ้นกาลนาน  แล้วเทพเจ้าก็อันตรธานหายไป

         ฝ่ายตปุสสะ  และภัลลิกะก็เกิดความพิศวงด้วยได้เห็นเทพเจ้า  และได้ทราบข่าวดีอีกว่าพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก  ต่างก็มีความยินดีโสมนัส  และมองไปข้างโน้นบ้างข้างนี้บ้างก็ได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งอยู่  ณ  ร่มไม้ราชายตนะประกอบด้วยมหาบุรุษ  ลักษณะรุ่งเรืองด้วยพระรัศมี  งามโอภาสเป็นที่อัศจรรย์  พลางมีความปรีดาปราโมทย์เปล่งวาจาว่า  เป็นลาภอันประเสริฐของเรา  พลางนำเอาสัตตุผงสัตตุก้อนน้อมเข้าไปใกล้พระผู้มีพระภาค  ถวายอภิวาทแล้วนั่งลงกราบทูลว่า  ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เจริญ  ขอพระองค์จงทรงอนุเคราะห์รับบิณฑบาตทานของข้าพระพุทธเจ้า  เพื่อประโยชน์สุขแก่ข้าพระพุทธเจ้าสิ้นกาลนานเทอญ

         ขณะนั้นพระพุทธองค์มีพระประสงค์จะรับ  แต่ในเวลานั้นบาตรที่ฆฏิการพรหม  ถวายในวันเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ได้อันตรธานไปเสียแล้ว  ครั้น  ๒  พานิชมาขอถวายสัตตุผงสัตตุก้อน  จึงทรงปริวิตกกว่าบาตรของเราไม่มี  พระพุทธเจ้าแต่ปางก่อนทรงรับบิณฑบาตด้วยหัตถ์มีบ้างหรือหนอ  และบัดนี้เราควรจะรับสัตตุผง  สัตตุก้อนหรือไม่หนอ

         ในครั้งนั้นท้าวจตุโลกบาลทั้ง  ๔  คือท้าวธตรฐ  ท้าววิรุฬหก  ท้าววิรูปักษ์  และท้าวกุเวร  ทราบพระพุทธประสงค์แล้วต่างก็นำบาตรศิลามีสีดังถั่วเขียว  คล้ายหยกมาแต่ทิศทั้ง  ๔  องค์ละใบน้อมเข้าไปถวาย  พระพุทธองค์ทรงรับเอาบาตรทั้ง  ๔  ใบนั้นและอธิษฐานเข้าเป็นใบเดียวกัน  ทั้งนี้เพื่อรักษาศรัทธาปสาทะของท้าวจตุโลกบาล  ครั้นทรงอธิฐานบาตรทั้ง ๔ เข้าเป็นใบเดียวแล้ว  จึงทรงรับข้าวสัตตุผง  ข้าวสัตตุก้อนของ ๒ พานิชด้วยบาตรนั้น 

         พระพุทธจริยาที่ทรงอธิฐานประสานบาตร ๔ ใบเข้าเป็นใบเดียวกันนี้เอง  เป็นเหตุให้สร้างพระพุทธรูปที่เรียกว่า “ปางประสานบาตร” ขึ้นมา

โครงการ KM หอพุทธศิลป์ © สงวนลิขสิทธ์โดยมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น
๓๐ หมู่ที่ ๑ บ้านโคกสี ถ.ขอนแก่น-น้ำพอง ต.โคกสี อ.เมือง จ.ขอนแก่น โทร.๐๔๓-๒๘๓๕๔๖-๗
เริ่ม ๑ กันยายน ๒๕๕๓ ปรับปรุงล่าสุด ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๘, ปรับปรุงโดย นายบูชิตร์ โมฆรัตน์