ปางอธิษฐานเพศบรรพชิต หรือปางมหาภิเนษกรมณ์ |
ลักษณะพระพุทธรูป พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในอิริยาบถนั่งสมาธิพระหัตถ์ซ้ายหงายบนพระเพลา พระหัตถ์ขวายกขึ้นตั้งฝ่าพระหัตถ์ตรงพระอุระ เบนฝ่าพระหัตถ์ไปทางซ้าย เป็นกิริยาสำรวมจิตอธิษฐานเพศบรรพชิต พระพุทธรูปปางนี้ไม่มีพระรัศมีบนพระเศียร ด้วยนิยมว่าพระรัศมีจะมีก็ต่อเมื่อได้ตรัสรู้แล้วปางมหาภิเนษกรมณ์ก็เรียก ประวัติความเป็นมา เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบ ก็ทรงโสมนัสเกี่ยวกับการประสูติของพระราชกุมารเป็นอันมาก ขึงได้เสด็จมาอัญเชิญพระราชกุมารพร้อมด้วยพระชนนี แวดล้อมด้วยราชบริวารกึกก้องด้วยดุริยางค์ประโคมแห่เสด็จเข้าพระนครกบิลพัสดุ์โปรดให้จัดพี่เลี้ยงนางนมพร้อมด้วยเครื่องสูงแบบกษัตริย์บำรุงพระกุมาร กับจัดแพทย์หลวงถวายการบริหารพระราชเทวีเป็นอย่างดี พระราชกุมารครั้นเจริญวัยแล้ว ก็ได้รับการศึกษาศิลปวิทยาเป็นอย่างดี และครั้นเจริญด้วยพระชนพรรษา สมควรมีพระราชเทวีได้แล้ว พระราชบิดาก็โปรดให้สร้างปราสาท ๓ หลังงดงาม เพื่อเป็นที่ประทับประจำ ๓ ฤดู สำหรับพระราชโอรส แล้วตรัสขอพระนางยโสธรา หรือพระนางพิมพามาอภิเษกให้เป็นพระชายา พระสิทธัตถกุมารเสด็จอยู่ยังปราสาททั้ง ๓ นั้น ตามฤดูทั้ง ๓ ซึ่งบำเรอด้วยดนตรีล้วนแต่สตรีประโคมขับ ไม่มีบุรุษเจือปน เสวยสมบัติทั้งกลางวันกลางคืนจนพระชนม์ได้ ๒๙ พรรษาจึงได้มีพระราชโอรสประสูติแต่พระนางพิมพาพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า “ราหุลกุมาร” วันหนึ่งพระสิทธัตถะ เสด็จประพาสพระราชอุทยานโดยรถพระที่นั่ง ได้ทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้ง ๔คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะอันเทวดาทั้งแสร้งนิมิตไว้ในระหว่างทาง ทรงเบื่อหน่ายในกามคุณ เกิดความสังเวชเหตุได้เห็นเทวทูต ๓ ข้างต้น อันพระองค์ยังไม่เคยพบมาในกาลก่อนแต่ยังความพอพระฤทัยในบรรพชาให้เกิดขึ้น เพราะได้เห็นสมณะ ครั้นเสด็จกลับถึงที่ประทับแล้วสิทธัตถกุมารก็ทรงพิจารณาสิ่งที่ได้พบเห็นมานั้น ทรงหยั่งเห็นความแก่ ความเจ็บความตาย กำลังครอบงำมหาชนอยู่ทุกคน ไม่ล่วงพ้นไปได้แม้แต่ตัวเราเองก็ต้องเป็นอย่างนั้นเข้าสักวันหนึ่งจนได้ ทั้งนี้ก็เพราะโทษที่ไม่ได้ฟังคำสอนของนักปราชญ์ เมื่อเห็นผู้อื่นแก่ เจ็บ ตาย ย่อมเบื่อหน่ายเกลียดชัง ไม่คิดถึงตัวว่าจะต้องเป็นเหมือนอย่างนั้นบ้างเลย เมาอยู่ในวัย ในความไม่มีโรค และในชีวิต เหมือนหนึ่งว่าจะไม่ต้องแก่ เจ็บ ตาย ขวนขวายหาแต่ของอันมีสภาวะเช่นนั้น ไม่คิดหาอุบายเครื่องพันบ้างเลยถึงพระองค์ก็ต้องมีอย่างนั้นเป็นธรรมดา แต่การจะเกลียดเบื่อหน่ายเหมือนอย่างคนอื่นนั้น เป็นการไม่ควรแก่พระองค์เลย เมื่อทรงดำริอย่างนี้แล้ว ก็ทรงบรรเทาความเมา ๓ ประการกับทั้งความเพลิดเพลินในกามสมบัติเสียได้ จึงทรงดำริต่อไปว่า ธรรมดาสภาวะทั้งปวงย่อมมีของเป็นข้าศึกแก่กัน คือเมื่อมีร้อนก็ต้องมีเย็นแก้ มีมืดก็มีสว่างแก้ บางทีจะมีอุบายแก่ทุกข์ คือ แก่ เจ็บ ตาย ๓ อย่างนั้นได้บ้างกระมัง เป็นการยากมากยิ่งผู้ที่ยังอยู่ครองเรือนในฆราวาสวิสัยแล้ว จะแสวงหาไม่ได้เลยเพราะชีวิตฆราวาสนี้เป็นที่คับแค้นนัก ทั้งเป็นที่ตั้งแห่งอารมณ์อันทำใจให้เศร้าหมอง เหตุด้วยความรัก ความชัง ความหลงเป็นดุจทางมาแห่งธุลี ส่วนบรรพชาเป็นช่องว่าง พอเป็นที่แสวงหาอุบายนั้นได้ ครั้นทรงดำริอย่างนี้แล้วก็มีพระทัยน้อมไปในบรรพชา ไม่ยินดีในฆราวาสสมบัติ เมื่อทรงแน่พระทัยว่าบรรพชาเป็นอุบายให้แสวงหาธรรมเป็นเครื่องพ้นทุกข์ได้เช่นนั้น ก็ทรงโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ครั้นพระสิทธัตถกุมารทรงน้อมพระทัยเสด็จออกบรรพชาเช่นนั้น ก็ทรงเห็นว่าทางที่จะให้พระองค์ออกบรรพชาได้นั้นมีอยู่ทางเดียวคือเสด็จออกจากพระนคร ตัดความอาลัย ความเยื่อใยในราชสมบัติ พระชายา และพระราชโอรส กับทั้งพระประยูรญาติ ตลอดราชบริวารทั้งสิ้นเสีย แต่ถ้าจะทูลลาพระราชบิดาก็คงจะถูกทัดทาน ยิ่งมวลพระประยูรญาติด้วยแล้วถ้าทราบเรื่องก็จะรุมกันห้ามปราม การเสด็จออกซึ่งหน้าไม่เป็นผลสำเร็จได้ เมื่อทรงตั้งพระทัยเสด็จหนีเช่นนั้นแล้ว ในราตรีนั้นเอง เสด็จบรรทมแต่หัวค่ำไม่ทรงใยดีในการขับประโคมด้วยดุริยางค์ดนตรีของพวกราชกัญญาทั้งหลาย ที่ประจงจัดถวายบำรุงบำเรอทุกประการ เมื่อพระสิทธัตถะทรงตื่นบรรทมในเวลาดึกสงัด ได้ทอดพระเนตรเห็นนางบำเรอเหล่านั้น นอนหลับเกลื่อนอยู่ภายในปราสาทซึ่งสว่างด้วยแสงประทีปโคมไฟ บางนางอ้าปากกัดฟัน น้ำลายไหล บางนางผ้าหลุด บางนางกอดพิณ บางนางก่ายเปิงมาง บางนางบ่นละเมอนอนกลิ้งกลับไปมา ปรากฏแก่พระสิทธัตถะประดุจซากศพอันทิ้งอยู่ในป่าช้า ปราสาทอันงามวิจิตรแต่ไหนแต่ไรมา ได้กลายเป็นป่าช้าปรากฏแก่พระสิทธัตถะในขณะนั้น เป็นการเพิ่มกำลังการดำริในการออกบรรพชาในเวลานั้นขึ้นอีก ทรงเห็นบรรพชาเป็นทางที่ห่างอารมณ์อันล่อให้หลงและมัวเมา เป็นช่องทางที่จะบำเพ็ญปฏิบัติให้เป็นประโยชน์แก่ตนและผู้อื่น ทำชีวิตให้มีผลไม่เป็นหมัน ครั้นทรงตกลงพระทัยเช่นนั้นแล้ว ก็เตรียมแต่งพระองค์ทรงพระขรรค์ รับสั่งเรียกนายฉันนะอำมาตย์ให้เตรียมผูกม้ากัณฐกะ เพื่อเสด็จออกในราตรีนั้น ครั้นตรัสสั่งแล้ว ก็เสด็จไปยังปราสาทนางพิมพาเทวีเพื่อทอดพระเนตรราหุลกุมารพระราชโอรสองค์เดียวของพระองค์เห็นพระนางบรรทมหลับสนิทพระกรกอดพระโอรสอยู่ ทรงดำริจะอุ้มพระโอรสขึ้นชมเชยเป็นครั้งสุดท้าย แต่ก็เกรงพระนางจะตื่นบรรทมเป็นอุปสรรคขัดขวางการเสด็จออกบรรพชา จึงตัดพระทัยระงับความเสน่หาพระโอรสเสด็จออกจากห้อง เสด็จลงจากปราสาทพบนายฉันนะเตรียมม้าพระที่นั่งไว้พร้อมแล้วก็เสด็จขึ้นม้ากัณฐกะ มีนายฉันนะตามเสด็จหนึ่งคน เสด็จออกจากพระนครในราตรีกาลนั้น ซึ่งเทพยดาก็บันดาลเปิดทวารพระนครไว้ให้เสด็จโดยสวัสดี เมื่อเสด็จพ้นจากพระนครไปแล้ว พญาวัสวดีมารก็มาขัดขวางทางเสด็จ ทูลว่าอีก ๗ วันสมบัติพระเจ้าจักรพรรดิ์ ก็จะมาถึงพระองค์แล้ว อย่าพึ่งรีบเสด็จออกบรรพชาเลยพระองค์ตรัสว่าแม้เราก็ทราบแล้ว แต่สมบัติจักรพรรดิ์หาทำให้ผู้เสวยพ้นทุกข์ได้ไม่ ท่านจงหลีกไปเถิด เมื่อทรงขับพญามารไปแล้ว ก็ทรงขับม้ากัณฐกราชพาหนะบ่ายหน้าสู้มรรคา เพื่อข้ามให้พ้นเขตราชเสมาแห่งกบิลพัสดุ์บุรี ครั้นเวลาใกล้รุ่งปัจจุสสมัย ก็บรรลุถึงฝั่งแม่น้ำอโนมานทีทรงขับม้ากัณฐกะกระโจนข้ามแม่น้ำไปโดยสวัสดี เมื่อทรงทราบว่าพ้นเขตกบิลพัสดุ์บุรีแล้ว ก็เสด็จลงจากหลังอัศวราชประทับเหนือหาดทรายขาวสะอาด รับสั่งแก่นายฉันนะว่า เราจักบรรพชาถือเพศเป็นบรรพชิตในที่นี้ ท่านจงเอาเครื่องประดับกับม้าสินธพกลับพระนครเถิด ครั้นตรัสแล้วก็ทรงเปลื้องเครื่องประดับสำหรับขัตติยราชทั้งหมดออกมอบให้แก่นายฉันนะตั้งพระทัยปรารถนาทรงบรรพชาเปล่งพระวาจา “สาธุ โข ปพฺพชฺชา” แล้วจึงทรงจับพระเมาลีด้วยพระหัตถ์ซ้าย พรระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ตัดพระเมาลี ให้ขาดออกเรียบร้อยด้วยพระองค์เอง แล้วจับพระเมาลีโยนขึ้นไปในอากาศ ทันใดนั้นสมเด็จอมรินทราธิราชก็ทรงเอาผอบทองมารองรับพระเมาลีเอาไว้แล้วนำไปบรรจุยังพระจุฬามณีเจดียสถานในเทวโลก ขณะนั้น ฆฏิการพรหมก็นำเอาผ้ากาสาวพัสตร์และบาตรมาจากพรหมโลกน้อมเข้าไปถวาย พระสิทธัตถะทรงรับเอาแล้วทรงนุ่มห่มผ้ากาสาวพัสตร์อันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ แล้วทรงตั้งพระหฤทัยอธิษฐานเพศเป็นบรรพชิต อันเป็นอุดมเพศแล้วทรงประทานผ้าทรงทั้งคู่ที่เปลื้องออกมอบให้แก่ฆฏิการพรหม ฆฏิการพรหมก็น้อมรับเอาผ้าคู่นั้นไปบรรจุไว้ในทุสสเจดีย์ในพรหมโลกสถาน |