ปางปฐมเทศนาหรือปางแสดงธรรมจักร
ลักษณะพุทธรูป พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิราบพระหัตถ์ขวายกขึ้นจีบนิ้วพระหัตถ์เป็นรูปวงกลม เป็นกิริยาแสดงธรรม พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นประคอง บางแห่งพระหัตถ์ซ้ายแบวางบนพระเพลาบ้าง ยกขึ้นถือชายจีวรบ้าง บางแห่งทำแบบนั่งห้อยพระบาทก็มี
ประวัติความเป็นมา ครั้นพระพุทธองค์ทรงอธิษฐานพระหฤทัย น้อมไปเพื่อจะทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดเวไนยสัตว์อย่างนี้แล้ว ก็ทรงรำพึงพิจารณาหาบุคคลผู้สมควรที่จะรับพระธรรมเทศนา ครั้งแรกทรงปรารถถึงอาฬารดาบส กาลามโคตร และอุททกดาบสลามบุตร ซึ่งพระองค์เคยเสด็จไปทรงศึกษาลัทธิสมัยอยู่ในสำนักของท่านอาจารย์ทั้งสองมา ด้วยทรงเห็นว่าท่านทั้งสองเป็นผู้ฉลาดทั้งมีกิเลสเบาบาง มีอุปนิสัยดี สามารถจะรู้ธรรมได้ฉับพลัน สมควรจะได้ธรรมพิเศษ แต่แล้วก็ทรงทราบด้วยพระญาณของพระองค์ว่า ท่านทั้งสองนั้นได้สิ้นชีพเสียก่อนแล้วเมื่อ ๗ วันมีความฉิบหายจากคุณอันใหญ่ ถ้าได้ฟังธรรมนี้แล้ว คงรู้ได้พลันทีเดียว ต่อจากนั้นมาจึงทรงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ ที่เคยอุปการะแก่พระองค์มา โดยปฏิบัติบำรุงพระองค์เมื่อครั้งทรงลำเพ็ญทุกกรกิริยาอยู่ ครั้นพระองค์ทรงเลิกทุกกรกิริยา ด้วยทรงเห็นว่ามิใช่ทางตรัสรู้ หันมาเสวยพระกระยาหาร ทรงปฏิบัติในทางใจตามทางสายกลางคือ มัชฌิมาปฏิปทา ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ไม่เลื่อมใส เห็นว่าพรนะองค์คลายความเพียรเวียนมาเป็นคนมักมากแล้ว คงไม่มีทางจะตรัสรู้ได้แน่ จึงได้ชวนกันทอดทิ้งพระองค์เสียและหนีไปอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ดังนั้นพระองค์จึงทรงกำหนดเห็นว่า ปัญจวัคคีย์มรอินทรีย์แก่กล้าสมควรจะได้รับธรรมพิเศษแล้ว เราจะไปแสดงธรรมแก่ปัญจวัคคีย์ก่อน ครั้งนั้น เมื่อพระพุทธองค์ทรงดำริอย่างนั้นแล้ว จึงทรงพระกรุณาเสด็จดำเนินออกจากต้นอชปาลนิโครธ ไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี อันเป็นที่อยู่ของปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ เสด็จถึงสถานที่นั้นในเวลาเย็นของวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ (เดือนอาสาฬหะ) ฝ่ายปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ พอได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาแต่ไกล จึงนัดหมายกันว่า พระสมณโคดมนี้ มีความมักมากคลายความเพียร เวียนมาเพื่อความมักมากเสียแล้ว มาอยู่ ณ บัดนี้ ในพวกเราผู้ใดผู้หนึ่งไม่พึงไหว้ ไม่พึงลุกขึ้นต้อนรับไม่พึงรับบาตรจีวร ก็แต่ว่า พึงตั้งอาสนะที่นั่งไว้เถิด ถ้าพระโคดมปรารถนาก็จงนั่ง ครั้นพระองค์เสด็จเข้ามาถึงแล้ว ยังพูดกับพระองค์ด้วยโวหารที่ไม่เคารพ คือพูดออกพระนามและใช้คำว่าอาวุโส เพราะไม่เชื่อว่าพระบรมศาสดาได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธองค์ทรงห้ามเสียและทรงตรัสเตือนปัญจวัคคีย์ ให้หวนระลึกถึงความหลังเมื่อครั้งอยู่ปฏิบัติบำรุงพระองค์มาเป็นเวลานานว่า ปัญจวัคคีย์ บัดนี้เราได้ตรัสรู้อมฤตธรรมโดยชอบเองแล้ว ท่านทั้งหลายจงคอยฟังดังนี้พวกท่านเคยได้ยินวาจาที่เราตรัสบอกอย่างนี้บ้างหรือ ปัญจวัคคีย์กล่าวคัดค้านลำเลิกเหตุปางหลังว่า “อาวุโสโคดม แม้ด้วยความประพฤติอย่างนั้น ท่านยังไม่บรรลุธรรมพิเศษได้ บัดนี้ท่านหันมาปฏิบัติเพื่อความมักมากเสียแล้วเหตุไฉนท่านจะได้บรรลุธรรมพิเศษได้เล่า พระพุทธองค์ตรัสเตือนสติปัญจวัคคีย์ว่า แม้วาจาอื่นใดอันไม่เป็นความจริงที่พระองค์เคยรับสั่งเล่น ยังเคยได้ยินอยู่บ้างหรือ ปัญจวัคคีย์ยังไม่ยอมเชื่อต่อพระองค์คงพูดคัดค้านโต้ตอบกันกับพระพุทธองค์อย่างนั้น ๒-๓ ครั้ง พระพุทธองค์จึงตรัสเตือนอีกว่า “ท่านทั้งหลายจำอยู่ได้อีกหรือไม่ว่า วาจาเช่นนี้เราได้เคยพูดแล้วในปางก่อนแต่กาลนี้บ้างแล” เมื่อปัญจวัคคีย์ได้ใคร่ครวญพิจารณาตามความจริง ตามพระกระแสรับสั่งเตือน จึงได้เห็นจริงตามพระวาจา และปลงใจเชื่อว่าพระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่ เพราะพระวาจาเช่นนี้ไม่เคยมีเลย จึงมีความสำคัญในอันจะฟังธรรมที่พระองค์ทรงแสดง แล้วพร้อมกันถวายความเคารพ คอยสดับพระโอวาทอยู่ตลอดเวลา ตามอรรถกถาว่า ครั้นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เพ็ญเดือน ๘อันเป็นวันอาสาฬหปุรณมี พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเตือนปัญจวัคคีย์ให้ตั้งใจฟังธรรมแล้ว พระองค์ก็ทรงแสดง “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” อันเป็น “ปฐมเทศนา” โปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ โดยประกาศความตรัสรู้ของพระองค์ว่า “ภิกษุทั้งหลายที่สุด ๒ อย่างอันบรรพชิตไม่ควรเสพ เป็นเหตุตั้งบ้านตั้งเรือนเป็นของคนมีกิเลสหนา ไม่ใช่ของคนผู้เป็นอริยะคือผู้บริสุทธิ์ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ คือ กามสุขัลลิกานุโยค ได้แก่การประกอบตนให้พัวพันด้วยความสุขในกาม ๑ อัตตกิลมถานุโยคได้แก่การประกอบความทุกข์ยากให้เกิดแก่ผู้ประกอบ ให้ได้รับความเหน็จเหนื่อยแก่ตนเปล่า ไม่ทำผู้ประกอบให้เป็นอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑ ทั้งสองอย่างนี้ บรรพชิตไม่ควรเสพไม่ควรประกอบ ไม่เป็นประโยชน์ไม่ใช่ทางตรัสรู้ ส่วนทางสายกลางคือ ข้อปฏิบัติอันเป็นมัชฌิมาปฏิปทาที่เราตรัสรู้แล้วนั้นเป็นไปเพื่อความสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่งเพื่อความรู้ดี เพื่อนิพพาน คือความสิ้นตัณหาเครื่องร้อยรัดไม่เข้าไปใกล้ที่สุดทั้ง ๒ นี้ ทำดวงตาคือปรีชาญาณเป็นธรรมที่บรรพชิตควรดำเนินตาม ควรเสพคือประกอบให้มีขึ้นในตนแท้ ด้วยเป็นทางทำให้ผู้ดำเนินตามให้ปำนพระอริยะ” ทางสายกลางคือ ข้อปฏิบัติอั้นเป็นมัชฌิมาปฏิปทาเรียกว่ามรรคมีองค์ ๘ ประการ ก็มรรคมีองค์ ๘ นั้นคือ อะไรบ้าง มรรคมีองค์ ๘ นั้นคือ สัมมาทิฏฐิ ปัญญาอันเห็นชอบ ๑ สัมมาสังกัปโป ความดำริชอบ ๑ สัมมาวาจา วาจาชอบ ๑ สัมมากัมมันโต การงานชอบ ๑ สัมมาอาชีโว เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ สัมมาวายาโม เพียรชอบ ๑ สัมมาสติ ระลึกชอบ ๑ สัมมาสมาธิ ตั้งใจชอบ ๑ มัชฌิมาปฏิปทานี้แล เราได้ตรัสรู้แล้ว ทำดวงตาคือปรีชาญาณให้เห็นแจ้งแทงตลอดเญยยธรรมทั้งปวง เป็นไปเพื่อความสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดี เพื่อพระนิพพาน ภิกษุทั้งหลายข้อนี้เป็นของจริงของพระอริยบุคคล อริยสัจจธรรม ๔ ประการคือทุกขสัจ อันได้แก่ ทุกข์ สมุทยสัจได้แก่เหตุให้เกิดทุกข์ นิโรธสัจ ได้แก่ความดับทุกข์ และมัคคสัจ ได้แก่ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ โดยเทศนาบรรหาร จำแนกยถาภูตทัศนญาณด้วยอาการ ๑๒ อย่างกล่าวคือ ในอริยสัจ ๔ เหล่านี้ของเราอันมีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างนี้ ยังไม่หมดจดเพียงใด เรายังไม่อาจยืนยันตนว่าเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ไม่มีใครสู้ในโลกเพียงนั้นต่อเมื่อใด ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงแล้วอย่างไรในอริยสัจ ๔เหล่านี้ของเราหมดจดดีแล้ว เมื่อนั้นเราอาจยืนยันตนว่าเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ไม่มีใครสู้ในโลก ก็แลปัญญาอันรู้เห็นได้เกิดแก่เราว่า “ความหลุดพ้นของเราไม่กลับกำเริบ ความเกิดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีกต่อไป” เมื่อพระพุทธองค์ตรัสพระธรรมเทศนาอยู่ ธรรมจักษุคือดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลีมลทิน ได้เกิดขึ้นแล้วแก่ท่านโกณฑัญญะว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา” ๑ พระพุทธองค์ทรงทราบว่า ท่านโกณฑัญญะได้เห็นธรรมแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานว่า “โกณฑัญญะ ได้รู้แล้วหนอ” พระอุทานว่าอัญญาสิๆ ซึ่งแปลว่า “ได้รู้แล้วๆ” ดังนั้นคำว่า “อัญญาโกณฑัญญะ” นี้จึงได้เป็นชื่อของท่านโกณฑัญญะตั้งแต่กาลนั้นมา และท่านอัญญาโกณฑัญญะ ก็ได้เป็นสาวกชั้นพระอริยะบุคคลองค์แรกในพระพุทธศาสนา พระพุทธจริยา ที่พระพุทธองค์ทรงพระมหากรุณาแสดงปฐมเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ครั้งนี้ อันเป็นการประกาศความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้โลกได้รู้แจ้งชัด ด้วยพระปรีชาญาณอันหาผู้เสมอมิได้ พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสักขีพยานในการตรัสรู้ของพระองค์ เป็นนิมิตอันดีในการที่พระพุทธองค์จะประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองในโลกสืบไปข้อนี้เป็นเหตุแห่งการสร้างพระพุทธรูปที่เรียกว่า “ปางปฐมเทศนา หรือ ปางแสดงธรรมจักร”
|