ปางประทับเรือ |
ลักษณะพุทธรูป พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งประทับบนพระแท่น ห้อยพระบาททั้งสองข้างวางอยู่บนดอกบัว พระหัตถ์ทั้งสองคว่ำวางบนพระชานุทั้งสอง ประวัติความเป็นมา สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จประทับอยู่ในเวฬุวนาราม อาศัยกรุงราชคฤห์มหานครเป็นที่โคจรภิกษาจารและประทานพระธรรมเทศนา โปรดเวไนยสัตว์ผู้มีธุลีในจักษุน้อยให้เห็นแจ้งในอริยธรรม ทรงประทานข้อปฏิบัติแต่เบื้องต่ำ เบื้องกลาง และเบื้องสูง ทรงแนะนำชักจูงผู้หลงดำเนินในทางผิดให้เกิดกุศลจิตกลับมาดำเนินในทางชอบ ปฏิบัติตามระบอบแบบอริยบรรพ์ อันเป็นทางเข้าถึงสวรรค์และนิพพานเกียรติศัพท์ของสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แผ่ไพศาลไปทั่วทุกทิศครอบงำกำลังของเหล่าเดียรถีย์มิจฉาจิตให้สิ้นแรง ดังหิ่งห้อยต้องสิ้นแสงในยามพระอาทิตย์อุทัย มหาชนพากันเลื่อมใสศรัทธาปสาทะ น้อมจิตเข้าถึงพระไตรสรณะตลอดกาล พร้อมทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาด้วยไทยทานเป็นนิรันดร พระพุทธศาสนาก็รุ่งเรืองสถาพรร่มโพธิร่มไทร ที่สมบูรณ์ด้วยดอกไม้ทุกก้านกิ่งให้ความร่มเย็นแก่ปวงสัตว์ทุกหมู่เล่าที่เข้าพึ่งพิงทุกทิวาราตรีกาล ในสมัยนั้น พระนครไพศาลี ซึ่งปรากฏเป็นราชธานีที่กว้างใหญ่เป็นที่เจริญด้วยวิทยาลัยเศรษฐกิจ มากด้วยพ่อค้าพานิชย์พำนักอยู่ ทั้งแผ่นดินก็อุดมสมบูรณ์ได้ด้วยทรัพยากรควรแก่การเพาะปลูกทั้งไม้หมากรากลูก ดอกและใบ เจริญยิ่งกว่านครใดในแคว้นวัชชี ดังนั้นชาวเมืองไพศาลีจึงมั่งคั่งด้วยทรัพย์สิน เพียบพร้อมด้วยปราสาทราชศฤงคารอันงามวิจิตอักอำมาตย์ราชปุโรหิตและโยธาทหารประกอบด้วยสามัคคีธรรมมีความสามารถด้วยศิลปศาสตร์ราชการทุกถ้วนหน้า เป็นที่นิยมทั้งพระราชอุทยานสถานพักผ่อนก็รื่นรมย์ และมีสระโบกขรณีเป็นที่น่ายินดีเจริญตาเจริญจิต งามพร้อมด้วยพฤกษานานาพันธุ์อเนกประการ ประชาชนก็มีความชื่นบานทุกเวลาทุกทิวาราตรี ครั้นต่อมาสมัยหนึ่ง เมืองไพศาลีเกิดอาเพศ ประชาชนทั้งหลายประสบอุบัติเหตุอย่างสาหัสด้วย ทุพภิกขภัยพิบัติเกิดบีฑาคือ ข้าวกล้าในนาเสียหายแห้งตายเป็นส่วนมาก ข้าวปลาหายากเพราะฝนแล้ง ข้าวยากหมากแพงเป็นที่สุด บรรดาเหล่ามนุษย์ก็ขัดสน ยากจนเพราะเกียจคร้านการงานไม่นำพา รักแต่การเที่ยวเตร่เฮฮาเป็นอาจิณ การทำมาหากินไม่ใฝ่ฝัน ใจใส่แต่การพนันในทางบาป จิตละโลภมากในทางผิดในที่สุดก็สิ้นคิดเพราะขัดสน ต้องทุกข์ทนต่อความหิว หน้านิ่วตาลายนอนตายอยู่เกลื่อนกลาด เป็นที่อเน็จอนาถอนิจจตา อนึ่งเล่า เมื่อตายไปแล้วก็ไม่มีใครนำพาซากศพ ทิ้งให้เน่าเหม็นกลิ่นตระหลบอยู่ริมทางดูเกลื่อนกลาด ต่อแต่นั้นมนุษย์ปีศาจในป่าก็พากันหลั่งไหลเข้าพระนคร กินศพมนุษย์ที่ม้วยมรณ์เป็นจำนวนมาก ที่ต้องตายลงเพราะอดอยากหิวโหยโรยแรงลงดับจิต ยังพวกที่ต้องสูญเสียชีวิตเพราะอหิวาตกโรค เพราะบ้านเรือนโสโครกด้วยกลิ่นไอ เนื่องจากของกินของใช้ ไม่สะอาด เป็นบ่อเกิดเชื้อโรคร้ายกาจให้พลันตาย อหิวาต์พาให้มนุษย์วอดวายเหลือประมาณยังปีศาจสันดานพาลที่แฝงอยู่พากันเข้าสิงสู่ร่างสำแดงฤทธิ์ ล้างผลาญชีวิตประชาชนให้วอดวายทุกวันวาน รวมเป็นภัย ๓ ประการ อันน่าสะพรึงกลัวเพราะเป็นภัยร้ายแรงคือ ๑. ทุพภิขภัย เกิดจากข้าวยากหมากแพง ฝนก็แล้งข้าวตาย ๒. อมนุสสภัย เกิดจากภูตผีปีศาจทั้งหลายเบียดเบียน ๓. อหิวาตกภัย เกิดจากอหิวาตกโรค เพราะบ้านเมืองโสโครก อาหารสกปรกเป็นสมุฏฐาน ภัยเกิดพร้อมกัน ๓ ประการไม่เคยมีปรากฏมาก่อนชาวเมืองไพศาลีจึงเคราะห์ร้ายมาก ที่มีกำลังก็ พากันหนีจากไปสู่เมืองไกล ครั้งนั้น ประชาชนทั้งหลายประชุมกันคิดว่า ภัยทั้ง ๓ ประการนี้ไม่เคยมีมาในปางก่อน มามีขึ้น อาจเป็นเพราะพระราชาแห่งนครไพศาลีประพฤติผิด ทำการบริหารบ้านเมืองนอกจารีตราชประเพณีอันดีงาม ไม่ตั้งอยู่ในราชธรรมอันดีอย่างกษัตริย์ทั้งหลาย จึงเกิดอาเพศภัยร้ายทั้ง ๓ ประการขึ้นแล้วก็ชักชวนกันไปยังพระราชนิเวศน์ สถานที่สถิตแห่งประมุขชาติราชบพิตร พระเจ้ากรุงไพศาลี กราบทูลว่าข้าแต่อธิบดินทร์ปิ่นแคว้นวัชชีมหาราช บัดนี้ ภัยพิบัติอันร้ายกาจ ๓ ประการเกิดขึ้นแล้วในพระนคร ซึ่งแต่กาลก่อนไม่เคยมีนับได้ ๗ ชั่วพระราชาธิบดีที่เสวยเถลิงราชสมบัติมา ท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าวว่า ภัยเห็นปานนี้ย่อมไม่เกิดขึ้นในราชการของพระราชาผู้บริหารประเทศผู้ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม ลำดับนั้น พระเจ้าไพศาลีโปรดให้มุขอำมาตย์ราชมนตรีประชุมชาวประชาชีที่ข้องใจสงสัยในราชกิจ ยังท้องพระโรงหลวงรัตนวิจิตรในราชฐาน ให้สำรวจตรวจดูงานการบริหารราชการแผ่นดินของกษัตริย์ ว่าสิ่งใดที่เราปฏิบัติไม่ชอบด้วยขัตติยราชประเพณี อันเป็นเหตุให้เกิดภัยกาลี ๓ ประการเมื่อมหาชนตรวจดูงานของพระมหากษัตริย์ ก็มิได้เห็นข้อปฏิบัติอันใดของพระองค์ที่บกพร่อง แล้วบรรดาชาวประชาชีจึงปรึกษากันว่า เราและท่านทั้งหลายจะพากันทำฉันใดภัยจึงจะสงบลงด้วยดี ดังนั้นผู้ใดเสนอว่าพิธีกรรมเหล่านี้มีพลีกรรมการบวงสรวงเป็นต้น จักเป็นมงคลระงับภัยพิบัติได้ เมื่อคนทั้งหลายพากันทำหมดทุกวิธี ก็ไม่สามารถปัดเป่าภัยกาลีให้สงบลงได้ กาลครั้งนั้น มีหมู่ชนที่สนใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเสนอความเห็นขึ้นมาชักชวนให้น่าคิดว่า บัดนี้ องคำสมเด็จพระธรรมสามีสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลก ทรงประทานธรรมวิโมกข์แก่ปวงสัตว์ ทรงพระปรีชาญาณสมบัติอันวิเศษสมบูรณ์ด้วยพระฤทธิ์พระเดชและอานุภาพนานาประการ ถ้าได้กราบทูลอาราธนาให้เสด็จมาประทานธรรมในพระนครไพศาลีนี้เหล่าภัยพิบัติทั้งมวลมีก็คงจะสงบลงได้ คำเสนอเรื่องนี้เป็นที่พึงพอใจแก่คนเป็นอันมาก จึงพากันถามว่าบัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเสด็จประทับอยู่ ณ ที่ใด ครั้นทราบแล้วก็พากันเข้าไปยังพระราชฐาน กราบทูลให้พระเจ้ากรุงไพศาลีได้ทรงทราบ และประทานโอกาสจัดราชปุโรหิตอำมาตย์นำเครื่องราชบรรณาการไปถวายพระเจ้าพิมพิสารยังราชคฤหมหานคร เพื่อขออาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เสด็จมาระงับความเดือดร้อนของชาวพระนครไพศาลี ด้วยอานุภาพพระบารมีแต่ครั้งเดียวนี้เถิด ในกาลนั้นเป็นเวลาใกล้ฤดูเข้าพรรษา พระบรมศาสดาทรงประทานปฏิญญาแด่พระเจ้าพิมพิสาร เพื่อทรงอยู่จำพรรษากาล ณ พระเวฬุวัน อนึ่งเล่าในสมัยนั้น เจ้าลิจฉวี พระนามว่า มหาลี เป็นผู้มีความสนิทสนมกันเป็นอย่างดีกับพระเจ้าพิมพิสาร จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้านำเครื่องราชบรรณาการไปพร้อมด้วยบุตรปุโรหิต เพื่อปฏิบัติราชกิจแห่งแคว้นมคธ แล้วเจ้ามาหาลีก็รับสัญจรบทจากนครไพศาลีไปยังมคธรัฐ เข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสารราชาธิปัตย์ยังราชคฤหนคร กราบทูลวิงวอนขออัญเชิญพระบรมศาสดาครั้นได้รับพระราชบัญชาเป็นโอกาสให้เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังพระเวฬุวัน เจ้ามหาลีก็ขมีขมันพาคณะราชทูตไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระมหาวิหาร ทูลอัญเชิญพระบรมศาสดาจารย์ผู้ทรงพระมหากรุณา เพื่อบำเพ็ญโลกัตถจริยาระงับความเดือดร้อน ประทานความร่มเย็นแก่ชาวนครไพศาลี ด้วยอานุภาพพระบารมีด้วยเถิด เมื่อพระบรมศาสดาทรงสดับคำของเจ้าลิจฉวี พร้อมชาวไพศาลี ทูลอาราธนา จึงทรงใคร่ครวญดูแล้วก็ทรงทราบว่า ถ้าตถาคตไปยังไพศาลีนครก็สามารถจะระงับความเดือดร้อนของประชาราษฏร์ ภัยทั้ง ๓ ประการก็จะพินาศไม่ตั้งอยู่ไดด้วยอานุภาพพระรัตนตรัยในรัตนสูตรพุทธอาณา จึงรับอาราธนาของคระเจ้าลิจฉวี ครั้นพระเจ้าพิมพิสารทรงสดับข่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับอาราธนาของเจ้าลิจฉวี จึงเสด็จไปเฝ้าพระมหามุนีแล้วกราบทูลถาม ครั้นทรงทราบความว่าจักเสด็จเป็นแม่นมั่นจึงกราบทูลว่า ถ้าเช่นนั้นขอให้พระองค์ทรงรอก่อนด้วยวิถีทางที่จะเสด็จไปยังไม่ราบเรียบ จึงโปรดให้ปราบพื้นวิถีทางสถลมาร์ค ถวายพระผู้มีพระภาคประมาณ ๕ โยชน์ จากกรุงราชคฤห์ ถึงแม่น้ำคงคา ให้สม่ำเสมอควรแก่การยาตราโดยสวัสดีทุกระยะวิถีทางหนึ่งโยชน์ ให้สร้างวิหารสำหรับพระศาสดาประทับพัก พร้อมด้วยที่พำนักของพระสงฆ์ทั้งหลายที่ติดตามเสด็จ ครั้นทางสำเร็จเรียบร้อยดีแล้ว พระเจ้าพิมพิสารจึงเสด็จไปเฝ้าพระศาสดาจารย์เจ้า กราบทูลให้ทรงทราบว่า บัดนี้ ควรแก่เวลาพระบรมศาสดาจะเสด็จเดินทางพร้อมด้วยพระสงฆ์ ๕๐๐ รูป โปรดให้ประชาชนยกธงชัยและธงแผ่นผ้าพร้อมด้วยต้นกล้วย ในที่สุดระยะทางโยชน์หนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งวิหาร ก็โปรดให้กั้นเศวตฉัตรซ้อนถวายพระบรมศาสดาจารย์เจ้าและสังฆบริวาร ทั้งจัดไทยทานถวายทุกระยะที่พำนักพักแรมราตรี รวมเสด็จเดินทาง ๕ วัน พอดีก็เสด็จถึงฝั่งแม่น้ำคงคา เสด็จลงราชนาวาเรือพระที่นั่ง ซึ่งโปรดให้จัดตั้งบัลลังก์ภายใต้พลับพลาหลังคาสี จัดลาดอาสนะเป็นอย่างดีตลอดหมด พระบรมสุคตเสด็จประทับบนพุทธอาสน์ พระสงฆ์ก็ลีลาสลงนั่งแวดล้อมเป็นบริวาร พระเจ้าพิมพิสารผู้ครองนครราชคฤห์จึงโปรดให้แจ้งข่าวสารไปยังเจ้าลิจฉวี ให้ชาวเมืองไพศาลีจัดแจงวิถีทรงต้อนรับพระบรมศาสดา ซึ่งเสด็จมาโดยเรือพระที่นั่ง กำหนดระยะทางที่จะถึงฝั่งนครไพศาลี เป็นทางยาวโยชน์หนึ่งพอดีทางเสด็จชลมาร์คพระเจ้าพิมพิสารเสด็จลงส่งเรือพระผู้มีพระภาคเจ้าลุยลงไปในแม่น้ำประมาณเพียงพระศอ แล้วกราบทูลว่าหม่อมฉันจะมารอรับเสด็จ ณ ที่นี้ในยามที่พระชินสีห์เสด็จกลับยังราชคฤหนครอีกครั้งหนึ่ง ขณะที่เรือพระที่นั่งทรงของพระองค์พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจากท่ามหาชนพากันทำการสักการบูชายิ่งใหญ่ ไม่มีการเสด็จเรือครั้งใดเสมอเหมือน จึงเป็นการเสด็จด้วยพระเกียรติอย่างมโหฬารซึ่งพระเจ้าพิมพิสารจัดถวาย ทั้งเป็นการเสด็จไปจากพระนครหนึ่งสู่นครหนึ่ง โดยพระมหากษัตริย์ทรงจัดรับส่งทังสองพระนคร จึงเป็นการเสด็จที่มีกิตติศัพท์ขจรไปไกลในพระประวัติของพระศาสดา พระพุทธจริยาตอนเสด็จประทับนั่งเรือนั้น เป็นเหตุให้สร้างพระพุทธรูปที่เรียกว่า “ปางประทับเรือ” |