ปางแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ |
ลักษณะพุทธรูป พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถประทับยืน พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นป้องเสมอพระอุระ พระหัตถ์ขวาห้อยลงข้างพระกายพักชานุเบื้องขวา เป็นกิริยาย่อพระบาทเล็กน้อย พระปางนี้อยู่ในพระอิริยาบถอื่นก็มี ประวัติความเป็นมา สมัยพระเจ้าสุทโธทนะพระพุทธบิดา ณ พระนครกบิลพัสดุ์ ได้ทรงสดับเกียรติคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฟุ้งขจรไปทั่วทุกทิศ ก็ทรงปีติโสมนัสยิ่งนักที่พระโอรสของพระองค์ได้สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณ สมดังคำพยากรณ์ของท่านอาจารย์อสิตดาบส และพราหมณาจารย์ทั้ง ๘ คน ทรงตั้งพระทัยคอยเวลาอยู่ว่า เมื่อใดหนอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จมาพระนครกบิลพัสดุ์ ครั้นไม่ดี่แววมาเลยว่า พระพุทธเจ้าจะเสด็จ ก็ทรงร้อนพระทัยปรารถนาจะให้พระพุทธองค์เสด็จมายังพระนครกบิลพัสดุ์ จึงทรงส่งอำมาตย์พร้อมด้วยบริวารคณะหนึ่ง ให้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร เมืองราชคฤห์ กราบทูลอาราธนา ให้เสด็จยังพระนครกบิลพัสดุ์ครั้นอำมาตย์และบริวารคณะนั้นเดินทางไปถึงเมืองราชคฤห์ ซึ่งเป็นระยะทางประมาณ ๖๐ โยชน์ ก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าในเวลาที่พระองค์กำลังทรงแสดงธรรมอยู่ จึงได้โอกาสฟังธรรมด้วย ครั้นฟังแล้วก็ได้บรรลุอรหัตผลทั้งคณะ จึงทูลขออุปสมบทเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา ไม่ได้โอกาสที่จะกราบทูลความตามที่พระเจ้าสุทโธทนะทรงบัญชามา ครั้นกาลล่วงไปนานวันเข้า พระเจ้าสุทโธทนะเห็นอำมาตย์พร้อมกับบริวารทั้งคณะนั้นหายไป ก็ทรงส่งคณะใหม่ออกติดตามและให้กราบทูลความประสงค์ของพระองค์ อาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เสด็จมายังกรุงกบิลพัสดุ์ แม้อำมาตย์ทูตคณะนั้นได้ฟังธรรมแล้วก็สำเร็จอรหัตผลหมดสิ้น พระเจ้าสุทโธทนะทรงส่งอำมาตย์ไปอาราธนาไม่เป็นผลสำเร็จสมพระทัยดังนี้ ๙ ครั้ง ครั้งที่ ๑๐ อันเป็นครั้งสุดท้าย ทรงน้อยพระทัยจึงรับสั่งเรื่องนี้แก่กาฬุทายีอำมาตย์ผู้ใหญ่ ขอมอบเรื่องนี้ให้กาฬุทายีอำมาตย์ช่วยจัดการให้สมพระหฤทัยหวังเถิด เพราะทรงเห็นว่า กาฬุทายีเป็นอำมาตย์ผู้ใหญ่อีกทั้งยังเป็นสหชาติสนิทสนม เป็นที่ไว้วางพระทัยของพระพุทธองค์มาแต่กาลก่อน กาฬุทายีรับสนองพระบัญชาพระเจ้าสุทโธทนะว่า จะพยายามกราบทูลเชิญเสด็จให้สมพระราชประสงค์ให้จงได้ แต่ได้กราบทูลลาอุปสมบทด้วย เพราะแน่ใจว่าตนควรจะได้อุปสมบทในสมัยอันเป็นโอกาสดีงามเช่นนี้แล้ว พระเจ้าสุทโธทนะจำต้องพระราชทานให้กาฬุทายีทุกอย่างตามที่ทูลขอด้วยความเสียดาย หากแต่ทรงดีพระทัยว่า กาฬุทายีอำมาตย์จะได้ทูลอัญเชิญเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้สมประสงค์ ครั้นกาฬุทายีอำมาตย์ พร้อมด้วยบริวารเดินทางมาถึงพระนครราชคฤห์แล้ว ก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ได้สดับพระธรรมเทศนา บรรลุพระอรหัตผลพร้อมด้วยบริวาร แล้วทูลขออุปสมบทเป็นพระภิกษุด้วยกันทั้งสิ้น เมื่อพระกาฬุทายีบวชแล้วได้ ๘ วัน ก็พอสิ้นเหมันตฤดู จะย่างเข้าคิมหันตฤดู ถึงวันผคุณมาสปุรณมี คือวันเพ็ญเดือน ๘ พอดี พระกาฬุทายีจึงดำริว่า พรุ่งนี้ก็เป็นเวลาย่างเข้าฤดูร้อน บรรดาเหล่าชาวกสิกรทั้งหลายก็เก็บเกี่ยวข้าวแล้วเสด็จ มรรคาที่จะเสด็จไปสู่นครกบิลพัสดุ์ก็สะดวกสบายพฤกษาชาติที่เกิดเรียงรายตามริมทางก็มีมาก ซึ่งจะให้ความร่มเย็นแก่ผู้เดินทางเป็นอย่างดี สมควรที่พระชินสีห์บรมศาสดาจะเสด็จดำเนินไปกรุงกบิลพัสดุ์ แสดงธรรมโปรดพระพุทธบิดาและพระประยูรญาติ ดำริแล้ว พระเถระก็เข้าเฝ้าพระบรมศาสดายังพระคันธกุฎี กราบทูลพรรณนาทางไปกรุงกบิลพัสดุ์เป็นสุขวิถีทางดำเนินสะดวกสบายตลอดมรรคา ยามเมื่อแสงแดดแผดกล้าก็มีร่มไม้ได้พักร้อน เป็นที่รื่นร่มตลอดระยะทาง ๖๐ โยชน์ หากพระองค์จะทรงบำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์โปรดพระประยูรญาติยังกรุงกบิลพัสดุ์บุรีศรี ก็จะเป็นที่สำราญพระกายไม่ต้องรีบร้อนยามเสด็จพุทธลีลา ตลอดพระสงฆ์สาวกที่จะติดตามพระบาทก็จะไม่ลำบากด้วยน้ำท่าและกระยาหาร ด้วยตามระยะทางมีโคจรคามเป็นที่ภิกษาจารตลอด อนึ่งเล่า พระบรมชนกนาถก็มีพระทัยมุ่งหมายใคร่จะได้ ประสบพบพระองค์ตลอดพระภิกษุสงฆ์สาวกทั้งหมด หากพระองค์จะทรงพระมหากรุณาเสด็จไปให้สมมโนรถของพระบรมชนกนาถ ตลอดทั่วพระประยูรญาติศากยวงศ์ แล้วประดิษฐานพระพุทธศาสนาลงที่กบิลพัสดุ์บุรี ก็จะเป็นพระเกียรติแก่พระพุทธศาสนา นำมาซึ่งประโยชน์สุขแก่ปวงมหาชน เป็นสิริมงคลแก่อนุชนคนภายหลังชั่วกาลนานข้าพระองค์ขออัญเชิญพระพิชิตมารเสด็จสู่กบิลพัสดุ์บุรีโปรดพระชนกนาถและพระประยูรญาติให้ปีติยินดีในคราวนี้เถิด เมื่อพระบรมศาสดาทรงสดับสุนทรกถาที่กาฬุทายีเถระกราบทูลพรรณรารวม ๖๔ คาถา วิจิตรพิสดาร ก็ทรงตรัสสาธุการแก่กาฬุทายีแล้วตรัสว่า “ตถาคตจะเสด็จไปโปรดพระประยูรญาติยังกบิลพัสดุ์บุรี ตามคำขอของท่าน ณ กาลบัดนี้ฉะนั้นท่านจงแจ้งข่าวแก่พระสงฆ์ทั้งหลายให้ตระเตรียมการเดินทางไกลตามตถาคตที่ประสงค์จะเสด็จไปยังกบิลพัสดุ์บุรี” เมื่อพระกาฬุทายีออกมาประกาศให้พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ที่มาอยู่สันนิบาตอยู่พร้อมกันให้ทราบพระพุทธประสงค์แล้ว บรรดาพระสงฆ์ขีณาสพทุกองค์ก็เตรียมบาตรจีวร มาสโมสรรอเสด็จพระบรมศาสดาตามวันเวลากำหนด ครั้นได้เวลาพระบรมศาสดาจารย์พร้อมด้วยพระสงฆ์ขีณาสพ ๒ หมื่นเป็นประมาณ เสด็จดำเนินไปยังกบิลพัสดุ์บุรี เสด็จโดยมิได้รีบร้อนตามสบาย ประมาณระยะทางเดินได้วันละ ๑ โยชน์พอดี ฝ่ายกาฬุทายีได้ส่งข่าวเสด็จพระนครกบิลพัสดุ์ของพระชินสีหสัมมาสัมพุทธเจ้า แด่พระเจ้าสุทโธทนะบรมกษัตริย์ ท้าวเธอได้ทรงทราบก็ทรงโสมนัสเบิกบาน แจ้งข่าวสารแก่พระประยูรญาติทั้งศักยราชและโกลิยวงศ์ในเทวทหนครพระญาติทั้งสองฝ่ายได้มาสโมสร ประชุมกันต้อนรับที่กบิลพัสดุ์บุรีด้วยความปีติยินดีเกษมศานต์ ได้ร่วมกำลังสร้างนิโครธารามมหาวิหาร พร้อมด้วยเสนาสนะและพระคันธกุฎีเพื่อรับรองพระชินสีห์และพระสงฆ์สาวกพุทธบริษัทเป็นสถานที่งดงามและเงียบสงัดควรแก่สมณวิสัยเป็นอย่างดี ครั้นสมเด็จพระชินสีห์พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก เสด็จถึงกบิลพัสดุ์บุรี บรรดาพระประยูรญาติที่มาสโมสรต้อนรับอยู่ทั่วหน้ามีพระเจ้าสุทโธทนะ พระพุทธบิดาเป็นประธาน ต่างแสดงออกซึ่งความเบิกบานตามควรแก่วิสัย แล้วทูลเชิญให้เสด็จเข้าไปประทับยังนิโครธารามมหาวิหาร พระบรมศาสดาจารย์ก็เสด็จขึ้นประทับบนพระบวรพุทธอาสน์ บรรดาพระสงฆ์สาวก ๒ หมื่นรูป ต่างก็ขึ้นนั่งบนเสนาอาสน์อันมโหฬารดูงามตระการปรากฏสมเกียรติศากบุตรพุทธชิโนรสบรรดามี ครั้งนั้น บรรดาพระประยูรญาติทั้งหลายมีมานะทิฏฐิอันกล้า นึกละอายใจไม่อาจน้อมประนมต์ถวายพระบรมศาสดาได้ด้วยดำริว่า พระสิทธัตถกุมารมีอายุยังอ่อนไม่ควรแก่อัญชลีกรนมัสการ จึงจัดให้พระประยูรญาติราชกุมารที่มีพระชนมายุน้อยคราวน้องคราวบุตรหลาน ออกไปนั่งอยู่ข้างหน้า เพื่อจะได้ถวายบังคมพระบรมศาสดา ซึ่งเห็นว่าควรแก่วิสัย ส่วนพระประยูรญาติผู้ใหญ่พากันประทับนั่งอยู่เบื้องหลังเหล่าพระราชกุมาร ไม่ประนมหัตถ์ไม่นมัสการหรือคารวะแต่ประการใด ด้วยมานะจิตคิดในใจว่าตนแก่กว่า ไม่ควรจะวันทาพระสิทธัตถกุมาร เมื่อพระบรมศาสดาได้ทรงประสบเหตุ ทรงพระประสงค์ให้เกิดสลดจิตคิดสังเวชแก่พระประยูรญาติที่มีมานะจิตคิดมมังการ จึงทรงสำแดงปาฏิหาริย์เหาะขึ้นลอยอยู่ในอากาศ ให้ปรากฏประหนึ่งว่าละอองธุลีพระบาทได้หล่นลงตรงเศียรเกล้าแห่งพระประยูรญาติทั้งหลาย ด้วยพุทธานุภาพเป็นอัศจรรย์ คราวนั้นพระเจ้าสุทโธทนมหาราช พระพุทธบิดาได้ทรงเห็นปาฏิหาริย์เป็นอัศจรรย์ จึงประนมหัตถ์ถวายนมัสการแล้วกราบทูลว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า แต่กาลก่อน เมื่อพระองค์ทรงประสูติใหม่ได้ ๑ วัน หม่อมฉันให้พระพี่เลี้ยงนำมาเพื่อนมัสการกาลเทวิลดาบส พระองค์ก็ทรงปาฏิหาริย์ให้ปรากฏขึ้นไปอยู่บนชฎากาลเทวิลอาจารย์ แม้ครั้งนั้น หม่อมฉันก็ได้ถวายนมัสการเป็นปฐม ต่อมางานพระราชพิธีนิยม ประกอบการวัปปมงคลแรกนาขวัญ พระพี่เลี้ยงนางนมได้นำพระองค์ประทับบรรทมใต้ร่มไม้หว้า ครั้นเวลาบ่าย เงาไม้ก็ไม่ได้ชายไปตามตะวันเป็นปาฏิหาริย์ที่มหัศจรรย์ได้ปรากฏ แม้ครั้งนั้น หม่อมฉันก็ได้ประณตนมัสการเป็นคำรบสอง ควรแก่การสดุดี รวมเป็นสามครั้งกับครั้งนี้ ที่หม่อมฉันได้อัญชลีนมัสการ” เมื่อสิ้นสุดพระราชบรรหารแห่งพระเจ้าสุทโธทนมหาราช บรรดาเหล่าพระประยูรญาติสิ้นทั้งหมด ก็พากันยอกรประณตอภิวาทพนะบรมศาสดาด้วยคารวะเป็นอันดี ต่อมาจากนั้น พระมหามุนีบรมสุคตเจ้าก็เสด็จลงจากอากาศ ประทับนั่งบนพุทธอาสน์ในท่ามกลางพระประยูรญาติสมาคม เป็นที่ชื่นชมโสมนัสสุดจะประมาณ ด้วยบุญญาภินิหารพระโลกนาถ ขณะนั้น มหาเมฆก็ตั้งขึ้นมนอากาศบันดาลหยาดฝนโบกขรพรรษให้ตกลงในที่พระขัตติยะประยูรญาติวงศ์ประชุมกัน น้ำฝนโมกขรพรรษนั้นมีสีแดงหลั่งไหลเสียงสนั่นลั่นออกไปไกลเหมือนเสียงสายฝนธรรมดา ถ้าผู้ใดปรารถนาจะให้เปียกกายจึงจะเปียก ถ้าไม่ปรารถนาแล้วแม้แต่เม็ดหนึ่งก็มิได้เปียกตัว เหมือนหยาดน้ำตกลงบนใบบัว แล้วก็กลิ้งตกลงไปมิได้ติดอยู่ให้เปียก ฉะนั้น จึงได้นามขนานเรียกว่า “ฝนโบกขรพรรษ” เป็นมหัศจรรย์ ครั้งนั้น พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายก็เกิดพิศวง ต่างองค์ก็สนทนาว่า มิได้เคยเห็นมาแต่กาลก่อน พระพุทธองค์จึงมีบรรหารตรัสว่า “ฝนโบกขพรรษนี้จะตกในที่ชุมมุมพระประยูรญาติในครั้งนี้เท่านั้น ก็หาไม่ ในอดีตสมัย เมื่อตถาคต เสวยชาติเป็นพระเวสสันดรบรมโพธิสัตว์ ฝนโบกขรพรรษก็เคยได้ตกลงในที่ชุมนุมพระประยูรญาติในครั้งนี้” แล้วสมเด็จพระมหามุนีจึงได้ทรงแสดงธรรมเทศนา เรื่องมหาเวสสันดรชาดกยอยกพระมหาทานบารมีเป็นพุทธานุสานี โปรดพระประยูรญาติซึ่งเป็นโอกาสอันควรแก่พระธรรมเทศนา ที่ทรงพระอุตสาหะเสด็จมาเป็นปฐม ให้พระประยูรญาติมีความนิยมเบิกบาน พระพุทธจริยาตอนทรงแสดงปาฏิหาริย์นั้น นับเป็นสิริมงคลอันอุดม เป็นเหตุให้สร้างพระพุทธรูปที่เรียกว่า “ปางแสดงอิทธิปาฏิหาริย์” |