ปางรับผลมะม่วง |
ลักษณะพุทธรูป พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาทรงถือผลมะม่วงและวางหลังหัตถ์ไว้บนพระเพลา หงายพระหัตถ์ให้เห็นผลมะม่วงที่ทรงถืออยู่ ประวัติความเป็นมา พระบรมศาสดาทรงโปรดพระพุทธบิดาให้ดำรงอยู่ในพระอริยบุคคลชั้นอนาคามี โปรดพระนางปชาบดีโคตมี และพระนางพิมพาเทวีให้อยู่ในพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน โปรดให้นันทกุมารพุทธอนุชาให้ทรงผนวชเป็นภิกษุ โปรดให้ราหุลกุมารซึ่งเป็นพุทธชินโอรสบรรพชาเป็นสามเณร และโปรดพระประยูรญาติทั้งหลายให้ตั้งอยู่ในพระอริยบุคคลอันควรแก่วิสัย ตลอดเวลาหนึ่งพรรษา ครั้นออกพรรษากาลแล้ว ก็เสด็จกลับมาประทับที่พระเวฬุวันมหาวิหาร พระนครราชคฤห์ กาลต่อมา ท่านอนาถปิณฑิกมหาเศรษฐีเมืองสาวัตถี มีโอกาสมายังกรุงราชคฤห์และได้ฟังธรรมเทศนาแล้วบรรลุอริยธรรมเป็นโสดาบันบุคคล ได้ถวายไทยทานแด่พระพุทธองค์พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์สาวก กับได้อาราธนาพระพุทธองค์ขอเสด็จไปประทับจำพรรษา ณ พระนครสาวัตถี โดยจะสร้างพระวิหารถวาย เมื่อพระบรมศาสดาทรงรับอาราธนาแล้ว ท่านอนาถบิณฑิกมหาเศรษฐีก็รีบกลับยังพระนครสาวัตถีขอซื้อสวนของเจ้าชายเชตกุมารแล้วสร้างมหาวิหารพร้อมด้วยเสนาสนะให้สมบูรณ์ทุกประการ สิ้นทรัพย์เป็นจำนวน ๕๔ โกฏิ แล้วขนานนามพระวิหารนั้นว่า “พระเชตวันมหาวิหาร” แล้วทูลอัญเชิญพระบรมศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ให้เสด็จมาประทับจำพรรษา ณ พระเชตวันมหาวิหาร พระบรมศาสดาได้แสดงธรรมเทศนาประกาศพระพุทธศาสนา ให้มหาชนตั้งต้นแต่พระเจ้าปเสนทิโกศลลงมาให้เลื่อมใสตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมณ์เป็นอันมาก โดยกาลไม่นานแล้ว พระองค์ก็เสด็จมาประทับยังพระเวฬุวันมหาวิหารอีก กาลครั้งนั้น ยังมีเศรษฐีในนครราชคฤห์ผู้หนึ่ง ยังไม่ได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและไม่ได้เลื่อมใสในลัทธิของอาจารย์อื่นใดทั้งสิ้น เป็นคนไม่มีศาสนา แต่กำลังจะหันมาสนใจโดยใคร่ครวญว่า ตนควรจะนับถือศาสนาของผู้ใดหรือควรตั้งอยู่ในลัทธิของอาจารย์ใดจึงจะดี ก็บังเอิญท่านเศรษฐีได้แก่นไม้จันทร์แดงมาท่อนหนึ่ง ขณะที่ไปเล่นน้ำในแม่น้ำคงคา ก็นึกอุบายอย่างหนึ่งได้ จึงให้ช่างไม้เอาแก่นไม้จันทร์แดงท่อนั้นมากลึงเป็นบาตรลูกหนึ่ง แล้วให้วางไว้ในสาแหรกแขวนไว้บนปลายไม้ไผ่ต้นหนึ่งที่หน้าเรือนแห่งตน พร้อมกันนั้นก็ให้คนใช้ประกาศว่า เวลานี้มีข่าวโจษจันกันเนือง ๆ ว่าบัดนี้ มีพระอรหันต์บังเกิดขึ้นในโลกแล้ว แต่ว่าเรายังไม่รู้จักพระอรหันต์ ทั้งไม่มีญาณวิเศษอันใดจะหยั่งรู้ได้ว่า ท่านองค์ใดเป็นพระอรหันต์อีกด้วย ก็แต่ว่าข้าพเจ้าอยากจะรู้จักพระอรหันต์ เมื่อรู้แล้วจะได้เคารพ สักการบูชา ยอมตนเป็นศิษย์ดังนั้นถ้าท่านองค์ใดองค์องค์หนึ่งเป็นพระอรหันต์แล้วไซร้ขอให้ท่านองค์นั้นจงเหาะมาทางอากาศถือบาตรไม้จันทร์ลูกนี้เถิด ข้าพเจ้าจะยอมรับว่าท่านองค์นั้นเป็นพระอรหันต์แท้ด้วยวิธีนี้เป็นสำคัญ อนึ่งเล่า ถ้าภายใน ๗ วันนับแต่วันที่ประกาศนี้ไป หากไม่มีพระอรหันต์องค์ใดเหาะมาเอาบาตรไม้จันทร์แล้วไซร้ข้าพเจ้าจะตกลงใจว่า ไม่มีอรหันต์ในโลกนี้ คำที่มหาชนกล่าวกันว่ามีพระอรหันต์นั้นก็เท็จ ไม่เป็นความจริง อุบายของท่านเศรษฐีนี้ได้ผล เพราะภายใน ๒-๓ วันนั้นเองได้มีเจ้าลัทธิต่างๆ ที่ประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ได้พากันร้อนตัวจัดส่งศิษย์ของตนมาพบท่านเศรษฐีเป็นการด่วนพูดจาหว่านล้อมพร้อมกับแสดงวิธีต่างๆ ประกอบ เพื่อให้เป็นคนรักษาคำพูด จึงยื่นคำขาดว่าเหาะมาเอาเถิด ถ้าเป็นพระอรหันต์ ในวันคำรบ ๗ ตอนเช้า พระมหาโมคคัลลานเถระกับพระปิณโฑลภารทวาชเถระออกจากวิหาร มายืนห่มจีวรอยู่ที่บนแผ่นหินดาดนอกเมือง ได้ยินข่าวคนโจษกันว่า บัดนี้ครบ ๗ วันแล้วไม่เห็นมีพระอรหันต์เหาะมาเอาบาตร พระอรหันต์ในโลกนี้ไม่มีแน่แล้ว พระโมคคัลลาเถระ จึงกล่าวกับพระปิณโฑลภารทวาชเถระว่า ท่านปิณโฑละ ได้ยินคนเขาพูดกันไหมคนเหล่านี้กำลังย่ำเหยียบเกียรติของพระศาสดาความจริง ท่านก็มีฤทธิ์มาก ท่านควรจะเหาะไปเอาบาตรไม้จันทร์แดงนี้เสียเถิด พระปิณโฑลภารทวาชเถระตอบว่า พระคุณท่านนั้นแหละเป็นผู้เลิศในหมู่พระสาวกที่มีฤทธิ์มาก ฉะนั้น พระคุณท่านควรจะไปเอาบาตร แต่เมื่อท่านไม่ไปกระผมจะไปเอาเองพูดแล้วพระปิณโฑลภารทวาชเถระก็เข้าจตุตถฌาณมีอภิญญาเป็นบาท ทำปาฏิหาริย์แสดงฤทธิ์ เอาปลายเท้าคีบหินดาดแผ่นนั้นซึ่งใหญ่ยาวประมาณ ๓ คาวุต ลอยขึ้นไปบนอากาศเสมือนปุยนุ่นติดเท้าพระเถระไป เวียนรอบอยู่บนพระนครราชคฤห์ ๗ รอบ ลักษณาการของหินดาดนั้นคลายกับฝาละมีจะปิดพระนครฉะนั้น ท่านเศรษฐีเห็นแล้วหมอบลงกราบ อาราธนาให้พระเถระลงมานั่งบนอาสนะในเรือนของตนแล้ว นำบาตรไม้จันทร์ลงมา จัดอาหารอันประณีตใส่บาตรให้เต็มแล้วถวายพระเถระเจ้าพระปิณโฑลภารทวาชะรับบาตรแล้วเหาะบ่ายหน้ากลับพระวิหาร ในขณะนั้นมหาชนที่ยังไม่ได้ชมปาฏิหาริย์ของพระเถระก็พากันวิ่งตามไปพระวิหารขอร้องให้พระเถระแสดงปาฏิหาริย์ให้ชมอีก เสียงร้องของมหาชนนั้นอื้ออึงลั่นพระวิหาร พระบรมศาสดาดับเสียงนั้นแล้ว จึงรับสั่งถามพระอานนทเถระ ครั้นทราบความแล้วทรงตำหนิ พร้อมกับโปรดให้ทำลายบาตรไม้จันทร์นั้นเสียย่อยให้เป็นชิ้นเล็กๆ ถวายพระสำหรับทำโอสถ แล้วทรงบัญญัติห้ามมิให้พระสาวกทำปาฏิหาริย์อีกต่อไป ครั้นพวกเดียรถีย์ได้ทราบข่าวนั้นแล้ว พากันดีใจว่าเป็นโอกาสของพวกเราแล้ว จึงให้สาวกของตนออกประกาศว่า เราจะทำปาฏิหาริย์กะพระสมณโคดม พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงสดับข่าวนั้นแล้ว ร้อนพระทัยด้วยความเป็นห่วง รีบไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าที่พระวิหารแล้วทูลว่า “พระองค์ทรงบัญญัติห้ามพระสาวกทำปาฏิหาริย์แล้วเป็นความจริงหรือพระเจ้าค่ะ” “เป็นความจริง มหาบพิตร” พระพุทธองค์ทรงรับสั่ง “ถ้าพวกเดียรถีย์จะทำปาฏิหาริย์แล้ว พระองค์จะทำอย่างไร” “พวกเดียรถีย์ทำ ตถาคตก็จะทำด้วย” “ถูกแล้ว มหาบพิตร ตถาคตห้ามพระสาวกต่างหาก หาได้ห้ามอาตมาไม่ เหมือนเจ้าของสวนห้ามเก็บผลไม้ ความจริงก็หาได้ห้ามเจ้าของสวนเก็บมิใช่หรือมหาบพิตร” พระเจ้าพิมพิสารทูลถามต่อไปว่า “พระองค์จะทำที่ไหนและทำเมื่อใด” ขอถวายพระพร มหาบพิตร ตถาคตจะทำที่เมืองสาวัตถี ในวันเพ็ญเดือน ๘ นับแต่นี้ไปอีก ๔ เดือน” ครั้นพระบรมศาสดาประทับอยู่ที่ พระนครราชคฤห์พอสมควรแก่อัธยาศัยแล้วก็เสด็จไปยังพระนครสาวัตถี พวกเดียรถีย์ได้ทีก็กล่าวโจษว่า พระสมณโคดมหนีไปแล้ว เราจะไม่ลดละ จะติดตามไปทำปาฏิหาริย์ด้วย ครั้นย่างเข้าเดือน ๘ ใกล้เวลาทำปาฏิหาริย์ พวกเดียรถีย์ได้จัดสร้างมณฑปใหญ่ ประดิษฐ์ด้วยไม้ตะเคียนงามวิจิตรประกาศให้มหาชนทราบว่า ตนจะทำปาฏิหาริย์ ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ารับจะทำมณฑปถวายเพื่อทำปาฏิหาริย์ พระพุทธองค์ไม่ทรงรับและตรัสว่า “ตถาคตจะทำปาฏิหาริย์ที่ร่มไม้มะม่วงมหาบพิตร” พวกเดียรถีย์ครั้นทราบอย่างนั้นแล้ว จึงจ่ายทรัพย์จ้างให้คนทำลายต้นมะม่วงในที่สาธารณะทั้งในเมืองและนอกเมืองให้หมด เพื่อมิให้โอกาสแก่พระพุทธองค์ทรงทำปาฏิหาริย์ ครั้นวันเพ็ญแห่งอาสาฬหมาส คือเวลาเช้าแห่งวันขึ้น ๑๕ ค่ำ กลางเดือน ๘ พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จเข้าไปภายในพระนครสาวัตถีเพื่อบิณฑบาต ประจวบกับราชบุรุษรักษาสวนหลวงคนหนึ่ง ชื่อ คัณฑะ เห็นมะม่วงทะวายมดแดงทำรังหุ้มอยู่ กำลังสุกจึงได้สอยผลมะม่วงผลนั้นลงมา เมื่อทำความสะอาดดีแล้ว ก็จัดใส่ภาชนะนำไปจากสวยเพื่อถวายพระราชา พอดีเห็นพระพุทธองค์เสด็จมาแต่ไกล ก็มีความเลื่อมใสพลางดำริว่า มะม่วงผลนี้หากเราจะเอาไปถวายพระราชาก็คงจะได้รับพระราชทานรางวัลไม่เกิน ๑๖ กหาปนะ แต่ถ้าเราจะน้อมถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จะเป็นมหากุศลอำนวยผลอานิสงส์ให้เป็นประโยชน์สุขแก่เราสิ้นกาลนาน เมื่อนายคัณฑะดำริเช่นนี้แล้ว ก็น้อมมะม่วงสุกผลนั้นเข้าไปถวายพระพุทธองค์ ครั้นพระบรมศาสดา ทรงรับผลมะม่วงของนายคัณฑะแล้ว ประสงค์จะประทับนั่ง ณ ที่ตรงนั้น พระอานนทเถระก็จัดอาสนะถวายประทับตามพุทธประสงค์ ครั้นประทับนั่งแล้วทรงหยิบผลมะม่วงในบาตรส่งให้พระอานนท์ทำปานะพระอานนทเถระ ก็จัดทำปานะมะม่วงถวายตามพระประสงค์ครั้งนั้นพระพุทธองค์เสวยแล้วก็ทรงส่งเม็ดมะม่วงให้นายคัณฑะว่า คัณฑะเธอจงคุ้นดินร่วนขึ้นทำเป็นหลุมปลูกมะม่วงเมล็ดนี้ ณ ที่นี้เถิด นายคัณฑะก็จัดปลูกมะม่วงเมล็ดนั้นถวายพระบรมศาสดา ณ ที่นั้น พระบรมศาสดา ทรงล้างพระหัตถ์บนเมล็ดมะม่วงนั้นในทันใดนั้นก็พลันบังเกิดความอัศจรรย์ขึ้น เมล็ดมะม่วงนั้นเกิดงอกออกต้นขึ้นทันที และในชั่วขณะที่นายคัณฑะพร้อมด้วยพระสาวกทั้งหลายมองดูอยู่ด้วยความพิศวง ต้นมะม่วงต้นน้อยๆนั้น ก็ค่อยเติบโตออกกิ่งใหญ่ๆ ถึง ๕ กิ่ง แต่ละกิ่งยื่นยาวออกไปถึง ๕๐ ศอก ทั้งล้วนตกดอกออกผล มีทั้งผลดิบผลสุกแลอร่ามไปทั้งต้นร่วงหล่นเกลื่อนพื้นพสุธา นายคัณฑะมีปีตีเลื่อมใส ได้ประสบความหัศจรรย์เฉพาะหน้า ก็เก็บผลมะม่วงสุกที่หล่นลงมาถวายพระสงฆ์ทั้งหลายที่ติดตามมาให้ฉันจนอิ่มหนำสำราญโดยทั่วถึงกันแล พระพุทธจริยาตอนรับผลมะม่วงจากนายคัณฑะนี้เป็นเหตุให้สร้างพระพุทธรูปที่เรียกว่า “ปางรับผลมะม่วง” |