ปางปัจจเวกขณ์ |
ลักษณะพระพุทธรูป พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิพระหัตถ์ซ้ายประครองบาตรที่วางอยู่บนพระเพลา พระหัตถ์ขวายกขึ้นป้องเสมอพระอุระ ทอดพระเนตรลงต่ำ ประวัติความเป็นมา เมื่อพระสิทธัตถบรมโพธิสัตว์ ครั้นทรงอธิษฐานเพศบรรพชิตแล้ว จึงมีดำรัสสั่งนายฉันนะอำมาตย์ว่า เธอจงเป็นธุระนำเอาอาภรณ์เครื่องประดับของเรากลับเข้าไป ยังกรุงกบิลพัสดุ์ และกราบทูลพระชนกนาถและราชมาตุจฉา ตลอดทั้งขัตติยสกุลให้ทรงทราบเหตุแห่งเราทุกประการ อย่าให้ทรงทุกข์โทมนัสถึงเราอีกเลย จงเสวยภิรมย์ราชสมบัติให้เป็นสุขทุกอิริยาบถเถิด เมื่อเราได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว จึงจะไปเฝ้า จงกราบทูลข่าวสารด้วยประการฉะนี้เถิดฉันนะ นายฉันนะอำมาตย์รับพระราชโองการแล้ว ก็ถวายบังคมลาแทบพระยุคลบาทมิอาจอดกลั้นโศกาอาดูรได้ อีกใจหนึ่งนั้นมิอยากจะจากไปด้วยความเสน่หาอาลัยเป็นอย่างยิ่ง ทั้งรู้สึกว่าเป็นโทษหนักนัก ที่ทอดทิ้งพระสิทธัตถะไว้พระองค์เดียว แต่ถึงกระนั้นก็มิอาจจะขัดกระแสรับสั่งได้ จึงจำต้องจากพระองค์ไปด้วยความสลดใจสุดจะประมาณได้ นำเครื่องอาภรณ์ทรงของพระบรมโพธิสัตว์เจ้าพร้อมกับม้ากัณฐกะกลับพระนครกบิลพัสดุ์พอออกเดินทางไปได้ชั่วสุดสายตาเท่านั้น ม้ากัณฐกะก็ล้มลงขาดใจตายด้วยความอาลัยในพระบรมโพธิสัตว์เจ้าสุดกำลัง เมื่อนายฉันนะกลับถึงพระนครแล้ว ก็แจ้งข่าวแก่ชาวเมืองที่ตามมามุงถามข่าวและอำมาตย์ผู้ใหญ่ ตลอดจนเข้าเฝ้าพระเจ้าสุทโธทนะถวายเครื่องอาภรณ์ทรงของพระบรมโพธิสัตว์เจ้า และกราบทูลความตามที่พระบรมโพธิสัตว์เจ้าทรงรับสั่งถ้วนทุกประการ ครั้นพระราชบิดา พระมาตุจฉา ตลอดขัตติยราชวงศ์ได้สดับข่าวก็ค่อยคลายความเศร้าโศก และต่างก็ตั้งหน้าคอยสดับข่าวการตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณของพระบรมโพธิสัตว์เจ้าสืบไป ตามคำพยากรณ์ของอสิตดาบสและพราหมณ์ทั้งหลายทูลถวายไว้แต่ต้นมา ส่วนพระบรมโพธิสัตว์เจ้า หลังแต่ทรงบรรพชาเพศแล้วเสวยบรรพชาสุขอยู่ ณ ป่าไม้มะม่วงตำบลหนึ่ง มีนามว่าอนุปิยอัมพวัน เว้นเสวยพระกระยาหารถึง ๗ วัน ครั้นวันที่ ๘ จึงเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ โดยกิริยาสงบอยู่ในอาการสังวรควรแก่ภาวะของสมณะ เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสของทุกคนที่ได้พบเห็น เมื่อได้อาหารภัตพอสมควรแก่ยาปนมัตถ์แล้วก็เสด็จกลับ โดยทางประตูที่แรกเสด็จเข้าไปตรงไปยังมัณฑวะบรรพต อันมีหน้าผาเป็นที่น่ารื่นรมย์ร่มเย็นควรแก้สมณะวิสัย ประทับนั่งแล้วทรงปรารภจะเสวยอาหารในบาตรทอดพระเนตรเห็นอาหารบิณฑบาตในบาตร ไม่สะอาดไม่ประณีต หากลิ่นรสอันจะชวนให้บริโภคสำหรับคนที่อดอาหารมาตั้ง ๗ วัน เช่นด้วยพระองค์ก็ไม่ได้ เป็นอาหารเลวที่พระองค์ไม่เคยเสวยมาก่อน ก็บังเกิดปฏิกูลสัญญาน่ารังเกียจเป็นอันมากจนเสวยไม่ได้ ลำดับนั้นพระองค์จึงตรัสสอนพระองค์เองว่า สิทธัตถะเอ๋ย ตัวท่านบังเกิดในขัตติยสุขุมาลชาติ เคยบริโภคอาหารอันปรุงแต่งด้วยสุคนธชาตโภชนสาลี ทั้งประกอบด้วยสูปพยัญชนะมีรสอันเลิศต่างๆ ไฉนท่านจึงไม่รู้สึกตนว่า บัดนี้ท่านเป็นบรรพชิตอยู่ในรูปนี้ และเที่ยวขอเขาโดยอาการของสมณะที่นิยมเรียกว่า บิณฑบาต แล้วอย่างไรท่านจะได้อาหารอันสะอาดประณีตมาแต่ที่ใดเล่า สิทธัตถะบัดนี้ ท่านควรจะคิดอย่างไรแก่อาหารที่ได้มานี้ ครั้นให้โอวาทแก่พระองค์ฉะนี้แล้วก็ทรงมนสิการพิจารณาอาหารบิณฑบาตด้วยธาตุปัจจเวกขณ์และปฏิกูลปัจจเวกขณ์ด้วยพระปรีชาญาณว่า ยถาปจฺจยํ ปวตฺตมานํ ธาตุมตฺตเมเวตํ เป็นอาทิ ด้วยพระสติดำรงมั่น ความว่าสรรพสิ่งทั้งหมด ย่อมเป็นไปตามปัจจัยที่ปรุงแต่งขึ้น ถึงอาหารบิณฑบาตนี้ ความจริงก็สักแต่ว่าเป็นธาตุ จะต้องเป็นไปตามปัจจัยปรุงแต่งขึ้นเช่นเดียวกันเป็นต้นแล้วทรงเสวยอาหารบิณฑบาตนั้นโดยปราศจากความรังเกียจ ดุจเทพเจ้าดื่มอมฤตรสและทรงกำเนิดในพระทัยว่า ตั้งแต่ทรงผนวชมาได้ ๘ วัน เพิ่งได้เสวยภัตตาหารในวันนี้ |