ปางประดิษฐานรอยพระบาท |
ลักษณะพุทธรูป พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ทั้งสองข้างห้อยลงประสานที่พระเพลา พระบาทซ้ายทรงเหยียบหลังพระบาทขวา เป็นกิริยากดพระบาท อันเป็นอาการสังวรตั้งพระทัยประดิษฐานให้รอยพระบาทปรากฏชัด มีลายลักษณ์พระบาทครบบริบูรณ์ ประวัติความเป็นมา ครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์ได้เสด็จมาถึงเขาสัจพันธ์บรรพตหยุดบุษบกอยู่บนอากาศ ทรงทรมานสัจพันธ์ฤาษีให้ละมิจฉาทิฏฐิ ให้อุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา แล้วขึ้นบุษบกตามเสด็จไป พระพุทธองค์ทรงทำภัตตกิจที่บ้านจุฬปุณณพานิชเสร็จแล้วเสด็จกลับ พญานาคราชทูลขอให้เหยียบรอยพระบาทไว้ริมฝั่งแม่น้ำนัมทา ครั้นเสด็จมาถึงเขาสัจพันธ์ ตรัสสั่งพระสัจพันธ์ภิกษุว่า เดิมท่านเป็นคณาจารย์ใหญ่ ได้บริวาร สอนประชุมชนให้ถือลัทธิผิด ๆ ไว้เป็นอันมากให้ท่านพักอยู่ ณ ที่นี้ ปลดเปลื้องประชุมชนให้พ้นจากมิจฉาทิฏฐิ ให้ตั้งอยู่ในทางสุคติสวรรค์ นิพพาน พระสัจพันธ์ทูลขอที่บูชาไว้ พระพุทธองค์ก็ได้ทรงแสดงเจดีย์รอบพระบาทไว้ที่หลังหิน เหมือนหนึ่งรอยกดกับพื้นดินเปียกๆ ไว้ให้ปรากฏแก่พระสัจพันธ์ตามที่ทูลขอไว้ และอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระพุทธองค์เสด็จประทับอยู่ที่โฆสิตาราม ในพระนครโกสัมพี ทรงอาศัยพระนครนี้เป็นที่แสดงธรรมโปรดประชากรให้ตั้งอยู่ในมรรคผลเป็นพุทธมามกะปฏิญาณตนมั่นอยู่ในพระรัตนตรัยเป็นอันมาก ณ แคว้นกุรุรัฐ มีพราหมณ์ผู้มั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติคนหนึ่งชื่อว่า มาคันทิยะ มีภรรยาชื่อว่า มาคันทิยา และมีธิดาสาวสวยอยู่คนหนึ่งชื่อว่า “มาคัณทิยา” ท่านมาคันทิยพราหมณ์เป็นคนพิถีพิถันเลือกบุตรเขยมากทั้งนี้เพราะธิดาของตนเป็นคนสวยงามมากอย่างหนึ่ง ทั้งฐานะของตระกูลของตนก็มั่งคั่งประการหนึ่ง จึงไม่ยอมตกลงให้แก่ชายผู้ที่มาขอธิดาตน โดยปฏิเสธว่า ชายผู้ที่มาขอนั้นไม่ควรแก่ธิดาของตน อยู่มาวันหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงตรวจดูอุปนิสัยสัตว์โลกในเวลาใกล้รุ่งด้วยพุทธจักษุ ทรงเห็นอุปนิสัยของอนาคามิผลของมาคัยทิยพราหมณ์และพราหมณีผู้ภรรยา ครั้นเวลาเช้าทรงบาตรจีวรของพระองค์แล้ว เสด็จไปยังสถานที่บำเรอไฟของมาคันทิยพราหมณ์ ซึ่งตั้งอยู่ ณ ภายนอกบ้านโดยลำพังพระองค์เดียว ฝ่ายมาคันทิยพราหมณ์ ก็ออกจากบ้านแต่เช้าตรู่เพื่อไปสถานที่บำเรอไฟ อันเป็นการไปประกอบพิธีบูชาไฟซึ่งเป็นกิจวัตรประจำ ได้เห็นรูปของพระพุทธเจ้าซึ่งงามพร้อมด้วยศิริวิลาสอันเลิศด้วยบุรุษลักษณะทุกประการ ก็ตกตลึงอยู่ในความงามนั้นยิ่งนัก ออกปากอุทานว่า นับแต่เราเกิดมาจนอายุปานนี้แล้ว ยังไม่เคยเห็นชายความงามทุกประการเช่นนี้ ซึ่งงามเหมือนเทพเจ้า ไม่น่าเชื่อเลยว่าในโลกนี้ยังจะมีชายรูปงามเหมือนชายผู้นี้อีก ชายคนนี้ถ้าได้กับลูกสาวเราจะสมกันยิ่งนัก เอาละเราจะให้ลูกสาวเราแก่ชายคนนี้แหละ เพื่อจะได้เป็นคู่ครองอย่างมีความสุขสืบสกุลต่อไป ในสมัยนั้น ณ แคว้นกุรุยังไม่มีพระพุทธศาสนาไปประดิษฐาน ไม่มีพระสงฆ์สาวกจาริกไปเผยแผ่พระศาสนา ชาวเมืองยังไม่รู้เรื่องพระศาสนา ไม่รู้เรื่องของพระสงฆ์ แม้มาคันทิยพราหมณ์ก็เช่นกัน ยังไม่รู้จักพระ ไม่รู้จักพระพุทธเจ้าก็เท่ากับเห็นชายงามเลิศพิเศษคนหนึ่ง ที่ตนไม่เคยเห็นมาก่อนนั้นเอง อนึ่ง ขณะนั้นมาคันทิยพราหมณ์ก็กำลังเลือกสรรหาชายงามให้แก่ธิดาที่แสนสวยของตนอยู่ด้วย ดังนั้นเมื่อมาคันทิยพราหมณ์ได้เห็นพระพุทธองค์เข้าก็ดีใจยิ่งนัก นึกว่าเป็นโชคดีอย่างคาดไม่ถึง จึงเข้าไปใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วกล่าวปราศรัยด้วยถ้อยคำไพเราะว่า ดูกรบุรุษผู้งามเลิศ ท่านเป็นชายที่มีความงดงามพร้อมดังเทพบุตร มีความสง่าในทีท่าดังพญาราชสีห์ข้าพเจ้ามีธิดาอยู่คนหนึ่งงามพร้อมด้วยศิริโฉมเหนือความงามของสตรีทั้งหลายในเมืองนี้ ข้าพเจ้าใคร่จะได้ชายงามเพื่อเป็นคู่ครองแก่ธิดาของข้าพเจ้า และตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าเลือกสรรหาอยู่ข้าพเจ้าก็ยังไม่เคยพบปะชายงามเสมอด้วยท่านเลย ดังนั้น การได้พบท่านในขณะนี้ จึงควรนับได้ว่าเป็นฤกษ์ดียามดี และโชคดีทั้งท่านและข้าพเจ้า ตลอดธิดาของข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้ารักท่านและแน่ใจว่าท่านเท่านั้นที่เป็นชายทรงคุณลักษณะสมควรแก่ความเป็นคู่ครองที่เหมาะสมสำหรับธิดาของข้าพเจ้า ท่านควรจะได้นางไว้เป็นบริจาริกา และนางก็ควรจะได้ท่านเป็นภัสดา ข้าพเจ้าจะถือโอกาสอันเป็นมงคลนี้แหละไปนำนางมามอบให้แก่ท่าน ขอท่านจงยืนรออยู่ ณ ที่นี้จนกว่าข้าพเจ้าจะกลับมา พระบรมศาสดาไม่ทรงรับสั่งอะไรๆ เลย ได้ทรงดุษณีภาพนิ่งอยู่คอยหาโอกาสที่จะแสดงธรรมโปรดมาคันทิยพราหมณ์ต่อไป ฝ่ายมาคันทิยพราหมณ์รีบกลับไปเรือนแห่งตนด้วยอารมณ์ดี ครั้นไปถึงบ้านด้วยอารามดีใจละล่ำละลักเรียกภรรยาว่ามาคันทิยา.....มาคันทิยา....นางมาคันทิยาผู้ภรรยาจึงถามขึ้นว่าท่านพราหมณ์มีธุระอะไรหรือ ทำไมวันนี้ท่านพราหมณ์จึงรีบกลับมาเรือนแต่เช้าทีเดียวละ พราหมณ์มาคันทิยะกล่าวตอบว่า “ก็เพราะมีโชคดีล่ะซิเธอ...จึงรีบมาบอกให้ทราบ” “......โชคดีอะไรท่านพราหมณ์” นางพราหมณีกล่าวย้ำ พราหมณ์มาคันทิยะ กล่าวเตือนภรรยาให้ตั้งใจฟังอีกว่าเธอคงจะนึกทบทวนความจำได้ว่า ตลอดเวลา ๒-๓ ปีมานี้ฉันไม่มีความสุขใจเลย คือนับตั้งแต่ลูกสาวของเราเจริญวัยมานี้ฉันพยายามบอกปัดชายที่มาสู้ขอลูกเรา พยายามเที่ยวแสวงหาชายรูปงาม เพื่อนำมาให้เป็นคู่ครองลูกของเราซึ่งมีความงามเหนือสตรีในเมืองนี้ แม้จะได้พยายามมาปีแล้วปีเล่าก็ยังไม่ได้พบชายงามสมใจเลย ถึงเธอก็ได้ปลีกเวลาสืบเสาะช่วยกันหาอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ตลอดเวลานั้น ขอสารภาพว่าฉันไม่มีความสุขเลย แต่นี่เธอเอ๋ย เธอรู้ไหม เช้าวันนี้เป็นวันที่ฉันหมดความทุกข์ร้อนกังวลใจได้ และมีความเบิกบานใจเป็นที่สุดฉันจะไม่ลืมความสุขใจในวันนี้เลย มาคันทิยาเอ๋ย ฉันได้พบชายงามแล้ว ชายคนนี้งามที่สุดเท่าที่เคยได้เห็นมา มาคันทิยางามจริงๆ งามบอกไม่ถูก ทั้งรูปร่าง ทั้งผิวพรรณ ท่วงทีงามไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ฉันได้ตกลงใจจะยกลูกสาวของเราให้เขาแล้ว มาคันทิยา เป็นโชคดีของลูกเราจริงๆ ที่จะได้สามีงามเหมือนเทพบุตร ความจริงก็เป็นโชคดีทั้งของฉันและของเธอด้วยที่จะมีลูกเขยงามเป็นเทวดา นางพราหมณีมาคันทิยา ตกตลึงในคำบอกเล่าของท่านพราหมณ์ผู้สามี และก็มีความแน่ใจด้วย เพราะไม่เคยเห็นสามีมีความดีใจและพูดสรรเสริญชายงามเหมือนวันนี้ จึงกล่าวว่าถ้าเป็นจริงเช่นนั้นก็นับว่าเป็นบุญของลูกเรามากทีเดียว แต่ฉันยังสงสัยอยู่ว่าชายคนที่ว่านั้น เป็นคนมาจากที่ไหน ชื่ออะไรล่ะท่านพราหมณ์ พราหมณ์มาคันทิยะพูดตัดบทว่า อย่ามาทำเป็นหมอความซักถามอยู่เลย รีบจัดแจงตบแต่งลูกสาวเราเร็วๆ เข้าเถอะเดี๋ยวไม่ทันการณ์ เราทั้งสองจะได้พาลูกสาวเราไปและมอบให้แก่ชายงาม ซึ่งกำลังยืนคอยอยู่ที่โรงบูชาไฟภายนอกบ้านโน้นแต่วันนี้แต่งตัวให้ลูกเราให้งามเป็นพิเศษหน่อยนะ นางพราหมณีมาคันทิยา ไม่รีรอให้เป็นที่ขัดใจสามี ทั้งใจก็อยากจะเห็นชายงามคนนี้ตามคำบอกเล่าอยู่ จึงรีบเข้าไปในเรือน บอกความประสงค์ให้ธิดาทราบเรื่องดีแล้ว ก็กะวีกะวาดแต่งตัวให้ธิดาครู่เดียวก็เสร็จเรียบร้อย ท่านพราหมณ์มาคันทิยะกล่าวปลอบโลมใจธิดาว่า ลูกเอ๋ยวันนี้ลูกแต่งตัวสวยงามมาก พ่อจะพาลูกไปพบกับชายงาม ซึ่งพ่อเชื่อว่าลูกจะต้องพึงตาพึงใจเขามากทีเดียว พูดแล้วก็ออกเดินนำภรรยาและลูกสาวเดินตรงไปยังโรงบำเรอไปใกล้กับที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับยืนอยู่ ก่อนแต่เวลาที่พราหมณ์มาคันทิยะภรรยาและลูกสาวสวยจะมาถึงนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกดรอยพระบาทเบื้องขวาให้ปรากฏลายลักษณะบริบูรณ์ยังภาคพื้นที่ประทับยืนแล้ว ก็ได้เสด็จจากที่นั้นไปประทับยืนอยู่ในที่อันไม่ไกลจากที่นั่นนัก เมื่อพราหมณ์มาคันทิยะและภรรยาพร้อมลูกสาว มาถึงที่นั้น ไม่เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง และกล่าวยืนยันกับภรรยาว่า มาคันทิยาฉันได้พบชายงามคนนั้นตรงนี้แหละ ก่อนที่จะจากเขาไปหาเธอที่บ้าน ฉันยังได้สั่งเขาให้ยืนรอยู่ตรงนี้ พูดพลางชี้รอยพระบาทนั้นให้ภรรยาดู พร้อมกับกล่าวว่า “นี่ยังไงล่ะ” รอยเท้าของเขาปรากฏใหม่ๆ อยู่นี้ นางพราหมณีเป็นสตรีที่ได้ศึกษาในวิทยาพยากรณ์มามากเมื่อได้พิจารณาดูรอยพระบาทพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยถี่ถ้วนแล้วก็ทราบทันทีพลางกล่าวกับสามีว่า ท่านมาคันทิยะสิ่งที่ท่านหวังนักหวังหนานั้นน่าจะหลุดลอยไปเสียแล้ว “ความหวังฉันจะหลุดลอยไปได้อย่างไร ไหนลองว่ามาซิ” มาคันทิยพราหมณ์กล่าวด้วยถ้อยคำไม่พอใจ ชายคนนั้นดีไม่จริงอย่างที่ฉันพูดหรือ ไม่ใช่อย่างนั้นท่านพราหมณ์ นางพราหมณีอธิบาย “ไม่ใช่ชายคนนั้นจะไม่ดี ความจริงนะ ชายคนนั้นดีมาก งามมากแม้ฉันจะไม่ได้เห็น เพียงรอยเท้าเขาที่ฉันเห็นนี้ก็บอกให้รู้ว่าเขางามเหมือนพรหม ดีไม่มีที่ตำหนิได้ สมดังคำพ่อมาคันทิยะว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นเลยนั่นแหละ ก็เมื่อเป็นเช่นั้นแล้ว ทำไมความหวังของฉันจึงจะหลุดลอยไปเสียเล่า มาคันทิยะซัก ก็เพราะชายคนนี้ดีเกินกว่าที่จะมาเป็นสามีของลูกสาวเรานะซี นางมาคันทิยากล่าวซ้ำอีก ชายผู้นี้มีคุณสมบัติเลิศในโลกเป็นที่บูชาของคนทั้งหลายตลอดแม้กระทั่งเทพทั้งมวล ด้วยรอยพื้นเท้าที่ปรากฏอยู่ในภาคพื้นนี้ ตามคัมภีร์พยากรณ์ศาสตร์แสดงไว้ดังนี้ “คนมากด้วยราคะพื้นฝ่าเท้าจะเว้าลึกเข้าไป คนมากด้วยโทสะจะหนักส้นเท้า คนมากด้วยโมหะจะหนักปลายเท้า ส่วนคนมีพื้นเท้าเสมอเช่นนี้เป็นผู้หาราคะ โทสะ โมหะ มิได้แล” ฉันกล้ายืนยันได้ว่า ชายคนนี้ดีเกินกว่าที่จะมาเป็นสามีลูกสาวของเรา ดังนั้นความหวังของท่านน่าจะหลุดลอยไปไม่สำเร็จ แม้ท่านมาคันทิยพราหมณ์จะเชื่อในวุฒิของภรรยาอยู่ แต่ด้วยความรักอยากได้มากไม่ชอบให้ใครมาขัดใจ จึงพูดว่า แม่มหาจำเริญพูดเป็นเห็นจระเข้ในโอ่ง เห็นขโมยในมุ้งทีเดียวนะนิ่งเสียทีเถิด “ท่านมาคันทิยะ” นางพราหมณีพูดออกมาอย่างน้อยใจไม่ยอมหยุด “ท่านจะด่าฉันอย่างไรก็เชิญเถิด ตามใจชอบ แต่จงจำไว้นะว่า รอยเท้าคนผู้เช่นนี้นะ เป็นรอยเท้าของคนสละกามได้แล้ว” พราหมณ์มาคันทิยะ ไม่สนใจในถ้อยคำของนางพราหมณีเดินไปทางที่พระผู้มีพระภาคเสด็จไปได้หน่อย มองซ้ายมองขวาก็พบพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ก็ดีใจ พลางเรียกภรรยาและลูกสาวหมาใกล้แล้วว่า คนนี้ยังไงล่ะ เป็นชายงามที่ฉันบอกละ แล้วทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ท่านผู้มีความสงบ สดใส ดังน้ำในบ่อ ฉันขอมอบธิดาอันเป็นที่รักของฉันแก่ท่านเพื่อเป็นคู่ครองสืบไป” พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงรับสั่งตอบหรือปฏิเสธเกี่ยวกับเรื่องธิดาของพราหมณ์แต่อย่างไร เป็นแต่ตรัสว่า ถ้าท่านพอใจจะฟังฉันจะเล่าเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับตัวฉันให้ท่านฟังสักเรื่องหนึ่ง “เชิญเล่าไปเถิด ท่านผู้มีโชคดี” มาคันทิยพราหมณ์กล่าวตอบรับด้วยความพอใจ ต่อจากนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงเล่าชีวประวัติของพระองค์ตอนหนึ่ง นับแต่พระองค์เสด็จออกมหาพิเนษกรมณ์และบำเพ็ญบารมีมาจนได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ แล้วทรงตรัสย้ำในตอนแรกตรัสรู้ว่า ในขณะที่เรานั่งอยู่ที่ร่มไม้อชปาลนิโครธนั้น ธิดามารทั้ง ๓ ได้จำแลงรูปเป็นสตรีรุ่นเจริญด้วยศิริรูปโสภาสรรพองค์หาที่ติมิได้มาร่ายรำ เล้าโลมเราด้วยมายาอันเย้ายวนมีประการต่างๆ และพร้อมที่จะยินยอมบำรุงบำเรอ หากเรานิยมให้ชื่นชมสมประสงค์เสมอ ถึงอย่างนั้นความพอใจในเมถุนธรรมกะธิดามารนั้นก็มิได้มีแก่เรา แม้แต่เท้าของเราก็ยังไม่ประสงค์ที่จะถูกต้อง แล้วอย่างไรเราจะพอใจธิดาของท่านซึ่งมีกายเต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูลเช่นนี้เล่า แล้วทรงแสดงธรรมโปรดพราหมณ์ทั้งสองโดยควรแก่วิสัย ในเวลาจบพระธรรมเทศนามาคันทิย พราหมณ์กับพราหมณีผู้ภรรยา ก็ได้บรรลุอริยผล ดำรงอยู่ในชั้นพระอนาคามีบุคคลต่อนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็เสด็จกลับมาประทับยังพระนครโกสัมพี ส่วนมาคันทิยพราหมณ์ ได้มอบธิดาสาวของตนให้แก่จูฬมาคันทิยะผู้เป็นน้องให้เป็นผู้ปกครอง พร้อมทั้งทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มี แล้วชวนเอาศรีภรรยาออกบวช ต่อมาได้บรรลุพระอรหัตผลเป็นอริยบุคคลชั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา พระพุทธจริยาวัตรตอนประทับกดรอยพระบาทนั้นเองเป็นเหตุให้สร้างพระพุทธรูปที่เรียกว่า “ปางประดิษฐานรอยพระบาท” |