ปางขับพระวักกลิ |
ลักษณะพุทธรูป พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิพระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาทรงยกขึ้นเสมอพระอุระ เอาฝ่าพระหัตถ์เข้าใน หันหลังพระหัตถ์ออกข้างนอกเป็นกิริยาโบกหลังพระหัตถ์ออก แสดงอาการขับไล่ออกไป ประวัติความเป็นมา ณ เมืองสาวัตถี ได้มีมาณพคนหนึ่ง ชื่อว่า วักกลิเกิดในตระกูลพราหมณ์ที่มั่งคั่งครั้นเจริญวัยขึ้นได้ศึกษาศิลปวิทยาแล้วได้ประกอบอาชีพเป็นหลักฐานอยู่ใน พระนครสาวัตถีวันหนึ่งวักกลิมาณพได้เห็นพระบรมศาสดาเสด็จเข้าไปบิณฑบาต พยายามพิเคราะห์ดูพระวรกายของพระบรมศาสดาซึ่งงามพร้อมด้วยพระลักษณะอันหาตำหนิมิได้ ทั้งกิริยาอาการที่เสด็จเยื้องกายก็สง่างาม น่าชมยิ่งนัก เดินติดตามชมอยู่ไม่รู้จักอิ่มจึงคิดแต่ในใจว่า เราเป็นคฤหัสถ์อยู่ในเพศของผู้ครองเรือนเช่นนี้ ยากที่จะได้ชมใกล้ๆ จะได้ชมบ้างก็เป็นครั้งคราว ไม่มีโอกาสจะได้ชมเสมอไป ถ้าเราได้ออกบวชเป็นบรรพชิตจะเป็นทางให้เราได้ชมอย่างใกล้ชิด และจะได้ชมตลอดกาลด้วยครั้นคิดตกลงใจอย่างนั้นแล้ว จึงได้สละบ้านเรือนพร้อมทรัพย์สมบัติออกบวชในพระพุทธศาสนา ครั้นพระวักกลิบวชแล้ว ก็หาได้สนใจในการท่องบ่นเล่าเรียนและเจริญธรรมกัมมัฏฐานแต่อย่างใดไม่ พยายามแต่จะหาโอกาสเข้าใกล้พระบรมศาสดามากี่สุด ติดตามพระพุทธองค์ไปทุกทิศทาง เพื่อให้สมเจตนาที่ออกบวช สุดแต่ว่าตนอยู่ ณ ที่ใดจะเห็นพระบรมศาสดาได้ ก็พยายามอยู่ ณ ที่นั้นด้วยความรัก ความพอใจในความงามของพระพุทธสรีระเป็นอันมาก พระบรมศาสดาทั้งที่ทรงทราบพฤติการณ์ ของพระวักกลิอยู่ก็มิได้มีรับสั่งอะไรๆ ทรงรอเวลาญาณบารมีของพระวักกลิอยู่ ต่อมาทรงทราบด้วยพระญาณว่า ญาณบารมีในอันที่จะได้บรรลุมรรคผลของพระวักกลิแก่กล้าดีแล้ว จึงทรงประทานโอกาสแก่วักกลิว่า วักกลิ เธอต้องการอะไรด้วยการดูร่างกายอันเปื่อยเน่านี้วักกลิ ผู้ใดเห็นธรรมนั้นจึงจะนับว่าเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นย่อมเล็งเห็นธรรม คือว่าผู้ที่เห็นเราโดยไม่เห็นธรรมหาได้ไม่ และผู้เห็นธรรมดีแล้วนั้นแล ย่อมจะเห็นเราผู้ตถาคตโดยประจักษ์แท้ เธอจงพยายามมองดูพระตถาคตเจ้าในธรรมเถิดอย่ามองดูพระตถาคตเจ้าในร่างกายอันเน่าเปื่อยนี้เลย เพราะอะไรเพราะผู้ที่มองเห็นพระตถาคตในธรรมนั้น จึงจะนับว่าได้เห็นพระพุทธเจ้าโดยแท้จริง แม้พระวักกลิ จะได้รับโอวาทที่พระบรมศาสดามีพระมหากรุณาทรงประทานอย่างนี้แล้ว ก็ไม่อาจจะระงับการชมพระบรมศาสดาแล้วไปในที่ใดๆ ก็คงติดตามดูพระบรมศาสดาอยู่อย่างนั้นนั่นเอง พระบรมศาสดาทรงดำริว่า พระวักกลิรูปนี้ถ้าไม่ได้ประสบความสลดใจแล้ว น่าจะไม่ได้ตรัสรู้ดังนั้น ครั้นจวนใกล้วันเข้าพรรษาจึงได้เสด็จไปพระนครราชคฤห์ พระวักกลิก็ติดตามเสด็จไปด้วย พอถึงวันเข้าพรรษาพระบรมศาสดาก็ทรงประณามขับพระวักกลิด้วยพระวาจาว่า “จงออกไปวักกลิ” เมื่อพระวักกลิถูกประณามเช่นนั้น จึงได้สลดใจมากด้วยไม่เคยนึกเคยฝันว่าตนจะได้รับโทษอันหนักเช่นนั้น นึกแต่ในใจว่า เมื่อพระบรมศาสดาไม่ทรงตรัสกะเราตลอดเวลา ๓ เดือนเราเข้าหน้าใครไม่ได้ การอยู่ของเราก็ไม่มีความหมาย ตายเสียดีกว่าการมีชีวิตอยู่สำหรับเราไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว เวลานี้ก้นเหวเป็นเหมาะที่สุด จึงเดินบ่ายหน้าขึ้นเขาคิชฌกูฏ โดยหวังจะกระโดดเหวตาย ด้วยความโศกเศร้าเป็นกำลัง ขณะนั้น พระบรมศาสดาทรงทราบการกระทำของพระวักกลิโดยตลอด ทรงดำริว่าภิกษุรูปนี้ถ้าไม่ได้ความสบายใจด้วยการปลอบโยนจากเราแล้ว คงจะทำลายอุปนิสัยแห่งมรรคผลให้พินาศเสียเป็นแน่แท้ อาศัยพระมหากรุณาอันแรงกล้าได้ทรงเปล่งพระรัศมีให้พระรูปของพระองค์ปรากฏแก่พระวักกลิประดุจจะว่ายืนอยู่ในที่เฉพาะหน้า พระวักกลิได้เห็นพระบรมศาสดา ประหนึ่งว่าเสด็จมาปรากฏพระกายอยู่ในที่ใกล้ มีพระพักตร์แจ่มใสเบิกบานแสดงพระเมตตาเช่นนั้น ก็ดีใจระงับความเศร้าโศกอันใหญ่หลวงถึงปานนั้นได้ทันที ประคองอัญชลีถวายบังคมพระบรมศาสดาด้วยความเคารพ และซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงประทานชีวิตอันสดชื่นคืนให้แก่ตนในเวลานั้น เมื่อพระบรมศาสดาจะทรงให้ ความปีติปราโมทย์อันแรงกล้าเกิดขึ้นแก่พระวักกลิเหมือนเทพเจ้าทำสระอันแห้งจนแตกระแหงให้เต็มด้วยน้ำฝน ฉะนั้นจึงตรัสว่า ปาโมชฺชพหุโลภิกฺขุ เป็นอาทิ ความว่า ภิกษุที่มีใจมากด้วยความปราโมทย์ผ่องใสอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าย่อมบรรลุสันตบท คือพระนิพพานเป็นที่เข้าไประงับสังขาร มีความสุขแล้วทรงเหยียดพระหัตถ์ออกประทาน แก่พระวักกลิ พร้อมด้วยพระวาจาว่า มาเถิด วักกลิ อย่ากลัวเลย จงมองตถาคตเสียให้สบายใจ ตถาคตจะยกเธอซึ่งกำลังจมอยู่ในกองทุกข์ เหมือนช้างที่จมอยู่ในเปือกตม ให้พ้นจากกองทุกข์ มาเถิดวักกลิ อย่าหวาดเลย จงมองดูตถาคตเสียให้สบายใจ ตถาคตจะยกเธอซึ่งกำลังถูกความทุกข์บีบคั้น เหมือนดวงจันทร์ที่ถูกราหูบีบคั้นให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงนั้นเสีย พระวักกลิเกิดความปีติปราโมทย์อย่างแรงกล้า เป็นอุเพงคาปีติในเวลานั้น พลันคิดว่าเราได้เห็นพระพุทธเจ้า พร้อมทั้งได้ยินพระสุระเสียงที่ตรัสเรียกหา เราจะไปเฝ้าพระองค์ทางไหนดีหนอ เมื่อยังไม่เห็นทางที่จะไปร่างกายท่านก็ได้ลอยขึ้นไปในอากาศ ตรงไปยังทางพระพักตร์พระบรมศาสดาที่แลเห็นอยู่ท่านใคร่ครวญดูพระวาจาที่ตรัสสอนในขณะที่ยืนอยู่บนยอดภูเขา ตั้งแต่บาทแรกของคาถาเป็นต้นไป พร้อมกับข่มปีติที่ทำให้ฟูขึ้นเกินไปลงเสีย ก็พลันได้บรรลุพระอรหันต์ พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณในอากาศนั้นเอง ถวายบังคมพระตถาคตแล้วลอยลงมาเฝ้าพระพุทธองค์ที่ยังคงประทับอยู่ด้วยคารวะอันสูง ต่อมาพระบรมศาสดาได้ทรงตั้งท่านไว้ในอัครฐานของพระสาวกว่าเป็นผู้เลิศในคณะสัทธาธิมุติด้วยกันแล พระพุทธจริยาตอนทรงขับไล่พระวักกลินั้นเอง เป็นเหตุให้สร้างพระพุทธรูปที่เรียกว่า “ปางขับพระวักกลิ” |